บัวหลวง ห่วงฐานรากซึมเตือน คอนโด ส่อล้นตลาด
Loading

บัวหลวง ห่วงฐานรากซึมเตือน คอนโด ส่อล้นตลาด

วันที่ : 7 พฤศจิกายน 2561
นายแบงก์ ห่วงกำลังซื้อฐานรากซึมยาวถึงปีหน้า พร้อมประเมินเศรษฐกิจเริ่มชะลอ หวั่นพิษสงครามการค้าฉุดส่งออกดันเอ็นพีแอลผู้ประกอบการพุ่ง พร้อมหนุนเกณฑ์คุมสินเชื่อบ้าน หลังพบสัญญาณคอนโดล้นตลาดอื้อ แนะจับตาทุนจีนไหลเข้าหวั่นแย่งงานเอสเอ็มอีไทย
          นายแบงก์ ห่วงกำลังซื้อฐานรากซึมยาวถึงปีหน้า พร้อมประเมินเศรษฐกิจเริ่มชะลอ หวั่นพิษสงครามการค้าฉุดส่งออกดันเอ็นพีแอลผู้ประกอบการพุ่ง พร้อมหนุนเกณฑ์คุมสินเชื่อบ้าน หลังพบสัญญาณคอนโดล้นตลาดอื้อ แนะจับตาทุนจีนไหลเข้าหวั่นแย่งงานเอสเอ็มอีไทย

          เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าเริ่มทรงตัว เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ กำลังซื้อกลุ่มฐานรากยังไม่ฟื้นตัว โดยเฉพาะการจับจ่ายใช้สอยในต่างจังหวัดที่ยังค่อนข้างซบเซา สร้างความกังวลใจให้กับ นายแบงก์ ที่ห่วงว่า เศรษฐกิจฐานรากอาจชะลอตัวยาวถึงปีหน้า

          นายเดชา ตุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวว่า แม้ภาครัฐจะออกมาตรการต่างๆ มากระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน แต่เศรษฐกิจกลุ่มฐานรากยังซบเซา ซึ่งโดยส่วนตัวไม่สบายใจกับเรื่องดังกล่าวนัก เพราะเป็นห่วงว่าเศรษฐกิจกลุ่มนี้อาจชะลอตัวยาวถึงปีหน้า

          ทั้งนี้ ธนาคารกรุงเทพ คาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปีหน้า จะขยายตัวได้ต่ำกว่าปีนี้ โดยจะเห็นการขยายตัวของเศรษฐกิจได้เพียงระดับ 4.2% เนื่องจากภาคการส่งออกต่างๆ น่าจะชะลอตัวลดลงจากปีนี้

          "เศรษฐกิจ 2 เดือนที่เหลือคงไม่ตื่นเต้นเท่าไหร่ ก็คงเป็นแบบนี้ต่อไป กำลังซื้อฐานรากตอนนี้ยังไม่ฟื้น เงียบ ไม่ตื่นเต้น เป็นสิ่งที่เราไม่สบายใจนัก ว่าจะเป็นแบบนี้ถึงปีหน้า และส่วนตัวมองว่าปีหน้า เศรษฐกิจคงสู้ปีนี้ไม่ได้ แม้รัฐบาลจะกระตุ้นผ่านโครงการต่างๆ ทั้งรถไฟความเร็วสูง ทำให้เกิดการก่อสร้างการจ้างงาน แต่การค้า ส่งออกเชื่อว่าสู้ปีนี้ไม่ได้ เพราะเวลานี้สหรัฐ มีการจำกัดการนำเข้าทำให้การนำเข้าอาจจะแพงขึ้น เศรษฐกิจยุโรปก็ไม่ได้ดี อังกฤษก็พยายามจะออกจากกลุ่มสหภาพยุโรปเหล่านี้ยังมีประเด็นโต้เถียงกันอีกมาก ดังนั้นเหล่านี้ก็อาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำหรับปีหน้า ปัจจัยการเลือกตั้งของไทย หากเลือกตั้งได้เร็ว และทำให้โปร่งใส่เชื่อว่าทั่วโลกจะมองไทยดีขึ้น และกล้าลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศอื่นๆ เพราะวันนี้มีแต่จีนที่เข้ามาลงทุน"

          ห่วงเอ็นพีแอลภาคส่งออกปะทุ

          ส่วนปัจจัยที่ต้องระมัดระวังในปีหน้าของธุรกิจแบงก์ คือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอล ที่อาจจะเพิ่มได้ โดยเฉพาะจากภาคการส่งออกที่ธุรกิจอาจชะลอตัว จากผลกระทบสงครามทางการค้า ซึ่งเห็นได้จากตัวเลขส่งออกเดือนก.ย. ที่ติดลบ 5% ขณะเดียวกันภาคส่งออกต่างๆยังต้องเผชิญกับราคาพืชผลทางการเกษตรที่ราคาลดลงด้วย ดังนั้นปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจแบงก์หลักๆก็คงเป็นเรื่องเอ็นพีแอล ในภาคส่งออก และอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ความสามารถการชำระหนี้อาจลดลง ทำให้เอ็นพีแอลแบงก์ปีหน้าเพิ่มขึ้น

          "แต่วันนี้เราก็ยังไม่เห็นการผิดนัดชำระหนี้ พอร์ตโดยรวมของแบงก์ยังไม่มีอะไรน่าห่วง หนี้เสียในภาพรวมปีนี้ถือว่าดี ไม่ได้เพิ่มอะไรมากมาย เราก็พยายามรักษาไม่ให้เกินความจำเป็นและอยู่ในระดับที่เคยทำ ปีหน้าแนวโน้มเอ็นพีแอลคาดว่าเอ็นพีแอลก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่มากเท่าไหร่ อย่างสินเชื่ออสังหาฯเราก็ควบคุมดูแลมานานแล้ว" นายเดชา กล่าว

          จับตาทุนจีนแย่งงานเอสเอ็มอีไทย

          นอกจากนี้ สิ่งที่ยังเป็นประเด็นที่น่ากังวล เรื่องการเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะนักธุรกิจจีน เชื่อว่าหากไม่มีการจัดระเบียบที่ดี สิ่งเหล่านี้อาจกระทบต่อการทำธุรกิจของเอสเอ็มอีได้ โดยเฉพาะต่างชาติอาจเข้ามาแย่งการทำธุรกิจแย่งงานต่างๆของภาคเอสเอ็มอีได้ เพราะจีนมีความพร้อมด้านการลงทุน และอาจมีต้นทุนการผลิตต่างๆที่ถูกกว่าภาคเอสเอ็มอีในประเทศ ทำให้การทำธุรกิจของเอสเอ็มอียากขึ้นในระยะข้างหน้า

          คอนโดขายไม่ออกอื้อ

          ขณะที่ มาตรการคุมสินเชื่อบ้านของธปท.เชื่อว่า เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้แบงก์มีการปล่อยสินเชื่ออย่างเหมาะสมมากขึ้น จากอดีตที่มีการปล่อยกู้เกินมูลค่าบ้านไปเกิน 100% ทั้งนี้ ซึ่งเชื่อว่าผลกระทบจากมาตรการนี้แบงก์จะได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารมีการปล่อยสินเชื่ออยู่ในเกณฑ์ของธปท.มาโดยตลอด ไม่ได้ และมีการดูแลความเสี่ยง และระมัดระวังในการปล่อยกู้มาโดยตลอด ซึ่งเชื่อว่า หากปีหน้าดีมานด์ซื้อบ้านยังมีอยู่ ภาพรวมสินเชื่อบ้านก็อาจยังสามารถเติบโตได้

          แต่หากดูภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน พบว่าคอนโดขายได้ยากขึ้น และพบว่ามีคอนโดส่วนเกินที่ยังขายไม่ออกอีกจำนวนมาก เป็นสิ่งที่อันตราย และบางโครงการเริ่มมีการลดแลกแจกแถม ซึ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณไม่ดี เพราะกำลังสะท้อนว่าอาจขายไม่ออก จึงจำเป็นต้องส่งเสริมการขายต่างๆ

          เสนอรัฐประชุมกรอ.แก้ปัญหาศก.

          นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทยที่ประชุมเห็นว่าควรเสนอรัฐบาลให้มีประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.)ในส่วนกลาง ภายในปีนี้ เนื่องจากตั้งแต่มีรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีมา 4 ปี ยังไม่เคยมีการประชุมกรอ.ส่วนกลาง มีแต่การประชุมกรอ.ส่วนภูมิภาค ทำให้เวทีการนำเสนอปัญหาของภาคเอกชน ไม่ค่อยได้รับการตอบสนองมากนัก ภาษีกีดกันร้านค้ารอบที่ 3

          นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒนพงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า แม้ว่าการส่งออกของไทยในเดือนก.ย.2561 จะลดลง 5.2% แต่คาดว่ายอดการส่งออกทั้งปี 2561 จะเพิ่มขึ้น 8% ส่วนในปี 2562 คาดว่าการส่งออกจะขยายตัว 5%
 
ข่าวนโยบายการเงิน-การคลัง อื่นๆ