BBLห่วงคอนโดล้น
Loading

BBLห่วงคอนโดล้น

วันที่ : 8 พฤศจิกายน 2561
ประธานบริหารแบงก์กรุงเทพ ส่งสัญญาณอันตราย หวั่น คอนโดฯ มิกซ์ยูสล้นตลาด สงครามการค้าฉุดส่งออก ต่างชาติแย่งตลาดเอสเอ็มอี กำลังซื้อรากหญ้าไม่ฟื้นลามเศรษฐกิจ พร้อมประเมินปีหน้าโตไม่เกิน 4.5% หนุนเลือกตั้งเร็ว โปร่งใสเพิ่มเชื่อมั่นดึงนานาชาติลงทุน
          ชี้สัญญาณอันตราย กำลังซื้อไม่ฟื้นลามปีหน้า

          เชียร์เลือกตั้งฟื้นเชื่อมั่นต่างชาติ

          ประธานบริหารแบงก์กรุงเทพ ส่งสัญญาณอันตราย หวั่น คอนโดฯ มิกซ์ยูสล้นตลาด สงครามการค้าฉุดส่งออก ต่างชาติแย่งตลาดเอสเอ็มอี กำลังซื้อรากหญ้าไม่ฟื้นลามเศรษฐกิจ พร้อมประเมินปีหน้าโตไม่เกิน 4.5% หนุนเลือกตั้งเร็ว โปร่งใสเพิ่มเชื่อมั่นดึงนานาชาติลงทุน

          นายเดชา ตุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ BBL แสดงความกังวลเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่มีการก่อสร้างจำนวนมาก แต่ยังขายไม่ออก จนต้องมีการลดแลกแจกแถม ถือว่าเป็นสิ่งอันตรายอย่างมาก ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต้องวางกฎระเบียบเรื่องการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย เพราะกลัวว่าจะเกิดเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) ซึ่งธนาคารกรุงเทพระมัดระวังเรื่องนี้พอสมควร และ

          มีขั้นตอนกลั่นกรองลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง

          ธนาคารกรุงเทพ เห็นด้วยหากธปท.จะควบคุมดูแลอัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ในปีหน้า พร้อมมั่นใจว่ามีผลกระทบกับธนาคารน้อย เพราะการปล่อยกู้เกินLTV ที่ระดับ 100% ไม่สมเหตุ สมผลเป็นสิ่งจำเป็นที่ธปท.ต้องควบคุมการแข่งขันของธนาคาร

          ขณะที่การเปิดให้เอกชนประมูลที่ดินมักกะสันในพื้นที่ 150 ไร่เพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานออฟฟิศหรือคอนโดมิเนียม ส่วนตัวมองว่าจะไม่ง่ายในการจะหาคนเข้ามาอยู่จนเต็มพื้นที่ และปัจจุบันยังมีหลายโครงการที่จะก่อสร้างอาคารสูงหรือตึกจำนวนมหาศาล อาทิโครงการ One Bangkok ของกลุ่มทีซีซีและเฟรเซอร์สพร็อพเพอร์ตี้ลิมิเต็ด หรือโครงการก่อสร้างตึกกว่า 100 ชั้นของ GLAND โครงการเดอะซุปเปอร์ทาวเวอร์ประมาณ 125 ชั้น รวมทั้งแผนรื้อโรงแรมดุสิตธานี เพื่อก่อสร้างเป็นคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงาน ในรูปแบบมิกซ์ยูส เหล่านี้จะทำให้มีความต้องการน้อยลง

          ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้า คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 4.2% ไม่เกิน 4.5% โดยภาพรวมแม้ว่ารัฐบาลจะพยายามจะอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆโดยเฉพาะรถไฟใต้ดินรถไฟความเร็วสูงทำให้ด้านก่อสร้างมีการใช้วัตถุดิบและคนมีงานทำ แต่เชื่อว่าการค้าทั่วไปและธุรกิจส่งออกจะสู้ปีนี้ไม่ได้ สาเหตุจากปัจจัยต่างประเทศทั้งเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน โดยสหรัฐอเมริกากำหนดมาตรการภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อจำกัดการนำเข้าสินค้า ทำให้สินค้าส่งออกของไทยราคาแพงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจ ยุโรปไม่ค่อยดี ยังมีประเด็นต่อสู้กันเรื่องอังกฤษพยายามจะออกจากประเทศสหภาพยุโรป เป็นต้น

          ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ ยังเป็นห่วงธุรกิจเอสเอ็มอีไทยจะถูกแย่งตลาดถ้าเปิดให้ต่างชาติรวมถึงจีนเข้ามาทำธุรกิจ หากวางระเบียบไม่ดีเอสเอ็มอีไทยจะลำบาก ด้วยต้นทุนผลิตสูงกว่าทั้งการก่อสร้างและการซื้อการขาย แม้ธนาคารจะสนับสนุนด้านความรู้ต่างๆ การบันทึกบัญชีเดียว รวมถึงความเป็นห่วงธุรกิจส่งออกซึ่งเดือนกันยายนที่ผ่านมาส่งออกหด 5.5% และอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่มีแนวโน้มจะถูกกระทบจากมาตรการภาษี

          นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ต้องระวังในปีหน้า คือ เศรษฐกิจรากหญ้าที่ยังไม่ฟื้นอาจจะลุกลาม และต้องพยายามดูแลหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล แม้อาจจะเพิ่มบ้างแต่ต้องรักษาระดับอย่ามากเกินปัจจุบัน อย่างไรก็ตามถ้ามีการเลือกตั้งได้เร็วและโปร่งใสจะทำให้ทั่วโลกกล้าเข้ามาลงทุนมากขึ้น เช่นยุโรปสหรัฐฯหรือหลายๆประเทศ ซึ่งขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากจีน โดยที่รัฐบาลไทยส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเต็มที่

          "ช่วง 2 เดือนที่จะสิ้นปีนี้คงไม่มีอะไรตื่นเต้น ขณะที่รัฐบาลยังพยายามจะสนับสนุนศรษฐกิจให้ดีขึ้นเรื่อยๆตอนนี้เศรษฐกิจรากหญ้าเชื่อว่ายังไม่ฟื้น เพราะผมไปต่างจังหวัดหลายแห่งธุรกิจเงียบๆไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร แต่ปีหน้าถ้ามีเลือกตั้งเร็วและโปร่งใสจะทำให้ทั่วโลกมองไทย และกล้าเข้ามาลงทุนจากหลายประเทศ เพราะตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากจีน"

          สำหรับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารกรุงเทพในปีหน้า จะเน้นสินเชื่อธุรกิจสาขาต่างประเทศจะต้องมีสัดส่วนสินเชื่อต่างประเทศของธนาคารรวมทุกประเทศเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 18% เทียบกับฐานสินเชื่อรวมด้วยเครือข่ายในต่าประเทศ 32 แห่ง ใน 15 เขตเศรษฐกิจสำคัญของโลก ครอบคลุม 9 ใน 10 ประเทศอาเซียนโดยเฉพาะอินโดนีเซียและเมียนมา โดยในอินโดนีเซียนั้นมีการขยายตัวทั้งธุรกิจก่อสร้างขุดเจาะน้ำมัน ขณะในสปป.ลาวเป็นการลงทุนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำแล้วนำไฟฟ้ามาใช้ในไทย

          "ปีหน้าสินเชื่อเติบโตใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 3-5% ตามเป้า เน้นสินเชื่อธุรกิจคละกันไปในต่างประเทศคาดว่าสิ้นปีนี้จะขยายสินเชื่อได้ 5%"

          ขณะที่เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพสุทธิหลังหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ณ สิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา อยู่ที่ 28,103 ล้านบาทหรือ 1.2% ขณะที่เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรวม 84,137 ล้านบาทหรือ 3.6% โดยอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสำรองขั้นต่ำ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 อยู่ที่ 230.1% ขณะเดียวกันธนาคารยังกันสำรองเพิ่มต่อเนื่องแม้ว่าเวลานี้จะมีกันสำรองเกินเกณฑ์มาตรฐานบัญชีIFRS9 แล้วก็ตาม

          ปี 62 สินเชื่อโต 3-5% เน้นธุรกิจต่างประเทศ เพิ่มสัดส่วนจาก 18% จากเครือข่ายต่างประเทศ 32 แห่ง