พฤกษาปรับแผนรับมือมาตรการแบงก์ชาติ เพิ่มพอร์ตบ้านสั่งสร้างะปรับงวดผ่อนดาวน์คอนโด หวังยืดเวลาลูกค้าผ่อนดาวน์
          นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการรับมือกับเกณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เตรียมบังคับใช้วันที่ 1 เม.ย. 2562 บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับรูปแบบการพัฒนาสินค้าใหม่ จากเดิมเน้นบ้านพร้อมขายหรือบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย เพื่อให้สามารถรับรู้ได้เร็ว โดยจะเปลี่ยนมาเป็นสินค้าบ้านสั่งสร้างมากขึ้น ขณะที่คอนโดมิเนียมจะต้องเปลี่ยนงวดเงินผ่อนดาวน์บางงวดให้สูงขึ้นมากกว่าปกติ
          ปัจจุบันบริษัทมีโครงการพร้อมอยู่หรือสต๊อกทั้งทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม 161 โครงการทั่วประเทศ มูลค่ากว่า 1.3 หมื่นล้านบาท โดยอยู่ระหว่างการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ 4,000 ล้านบาท
          สำหรับแผนการพัฒนาโครงการในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 10 โครงการ บ้านเดี่ยว 2 โครงการ คอนโดแวลู 2 โครงการ และคอนโดพรีเมียมอีก 1 โครงการ
          ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าถึงสิ้นปีจะเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 55 โครงการ มูลค่ากว่า 4.9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 10 โครงการ มูลค่า 1.1 หมื่นล้านบาท ทาวน์เฮาส์ 35 โครงการ มูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาท คอนโดแวลู 7 โครงการ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท และคอนโดพรีเมียม 3 โครงการ มูลค่า 7,400 ล้านบาท จากเดิมในช่วงต้นปีมีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 77 โครงการ มูลค่ากว่า 6.7 หมื่นล้านบาท และในช่วงกลางปีได้ปรับลดลงมาเหลือ 68 โครงการ มูลค่า 6.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งล่าสุดลดเหลือ 55 โครงการ และ ได้ใช้งบซื้อที่ดินไปแล้ว 1.6 หมื่นล้านบาท จำนวน 50 แปลง
          นางสุพัตรา กล่าวต่อว่า บริษัทยังคงมั่นใจรายได้ปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้  4.7 หมื่นล้านบาท หลังจากช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาทำรายได้แล้วกว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้จะทยอยรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน หรือแบ็กล็อกกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท จากแบ็กล็อก ทั้งหมดกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท ด้านยอดขาย บริษัทก็ยังมั่นใจทำได้ตามเป้าหมายกว่า 5.3 หมื่นล้านบาท โดยที่ในช่วง 9 เดือนแรกทำยอดขายได้แล้วเกือบ 4 หมื่นล้านบาท
          อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3/2561 บริษัทสามารถครองส่วนแบ่งตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งอยู่ที่ 10% จากมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดและยังคงรักษาแชมป์เจ้าตลาดทาวน์เฮาส์ได้ต่อเนื่อง โดยครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดอยู่ที่ 21% ปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัท ณ ไตรมาส 3/2561 ลดลงมาเป็น 4.1% จากปี 2560 อยู่ที่ 6.9% ซึ่งเป็นผลมาจากทำพรีแอพปรูฟและให้คำปรึกษาก่อนยื่นกู้ต่อธนาคารอัตราการปฏิเสธสินเชื่อจึงลดลง
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์


4. ตลาดโคเวิร์กกิ้งสเปซเนื้อหอม เซ็นทรัล ทุ่ม800ล้านโดดลุย
        น.ส.ยุพา เสถียรภาพอยุทธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการธุรกิจอาคารสำนักงานบริษัทโจนส์แลงลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือเจแอลแอล บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า โคเวิร์กกิ้งสเปซ หรือธุรกิจให้เช่าสถานที่นั่งทำงานยังคงเติบโตรวดเร็ว หลังผู้ประกอบการต่างชาติ ทั้งระดับโลกและภูมิภาคทยอยเข้ามาเปิดและขยายสาขาในกรุงเทพฯ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นบริษัท/องค์กรทำให้แต่ละสาขามีขนาดใหญ่ และมีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก ทั้งนี้ สถานที่ให้บริการของโคเวิร์กกิ้งสเปซแบรนด์ต่างชาติในกรุงเทพฯ มีขนาด 1,000-3,400 ตารางเมตร(ตร.ม.) ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในอาคารสำนักงานเกรดเอใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส หรือรถไฟใต้ดิน โดยปัจจุบันมีแบรนด์ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจแล้ว 5 ราย
          นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา(ซีพีเอ็น) เปิดเผยว่า จากวิสัยทัศน์การสร้าง Centerof Life เพื่อให้ศูนย์การค้าในเครือเซ็นทรัลเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ บริษัทจึงขยายไลน์ธุรกิจใหม่แบรนด์  "คอมะมอนกราวด์" โคเวิร์กกิ้งสเปซเต็มรูปแบบเพื่อเป็น "คอมมูนิตี้เชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการหัวคิดใหม่ที่ดีที่สุด" แห่งแรกในไทยโดยร่วมทุนกับคอมมอนกราวด์กรุ๊ปแบรนด์โคเวิร์กกิ้งสเปซที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้งบลงทุนกว่า 800 ล้านบาท ลุยเปิด 20 สาขา ภายใน 5 ปี โดยกว่า 10 สาขา จะตั้งอยู่ในกรุงเทพฯในอาคารสำนักงานที่เชื่อมต่อกับศูนย์การค้าของซีพีเอ็น หรืออาคารสำนักงานให้เช่าอื่นๆ รวมถึงสาขาในหัวเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา นำร่องเปิดสาขาแรกต้นปี 62 นี้ โดยบริษัทต้องการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจโคเวิร์กกิ้งแห่งใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้