แห่ปั้น มิกซ์ยูส ทางรอดอสังหาฯล้น
Loading

แห่ปั้น มิกซ์ยูส ทางรอดอสังหาฯล้น

วันที่ : 31 สิงหาคม 2561
แห่ปั้น มิกซ์ยูส ทางรอดอสังหาฯล้น

ทุนอสังหาริมทรัพย์ ชี้เทรนด์อสังหาฯซิงเกิลยูส มีโอกาส ล้นตลาดใน 3 ปี เหตุพฤติกรรม ผู้บริโภคเปลี่ยน หันปั้นโครงการมิกซ์ยูส "สิงห์ เอสเตท" คาดซีบีดีจุดเสี่ยงหลัก ภายในงานสัมมนา"Thailand Focus 2018 : The Future is Now โอกาสการลงทุน... ไม่ต้องรออนาคต" ในหัวข้อสัมมนา Rising of the Mixed Use Complex and New Bangkok CBD

นางกมลวรรณ วิปุลากร ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอีก 3 ปีข้างหน้าเริ่มเกิดปัญหาโครงการที่พักอาศัย ล้นตลาด (Over Supply) โดยเฉพาะในกลุ่มโครงการเดี่ยว (Single-Use) ที่พัฒนาโครงการเพื่อตอบสนองความต้องการเชิงเดี่ยว เช่น โรงแรม ที่พักอาศัย ค้าปลีก และสำนักงานให้เช่า ที่ตั้งเดี่ยว เริ่มจะมีราคาสูงขึ้น

ขณะที่กลุ่มลูกค้ากลับไม่มี งบประมาณลงทุนสูงเพื่อจ่าย ส่งผลทำให้ อัตราการเข้าพักอาศัย เช่า หรือ ขายเริ่มมี อัตราต่ำลง ทำให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะต้องพัฒนาโครงการผสมผสาน (Mixed-Use) ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ทุกด้านในพื้นที่ตั้งแต่ที่พัก โรงแรม สำนักงาน ค้าปลีก รวมไปถึงแหล่งบันเทิง และที่พักผ่อน จึงจะตอบโจทย์ความ ต้องการและทำให้เกิดการแข่งขันได้ ในการดึงคนเข้ามาใช้พื้นที่ได้เต็มประสิทธิภาพ "ราคาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน เริ่มสูงและเริ่มล้นตลาดเกินความ ต้องการ การพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ เทรนด์คนรุ่นใหม่จึงควรเป็นรูปแบบมิกซ์ยูส ที่ต้องการที่พักอาศัยที่มี สิ่งรอบตัว ทั้งฟิตเนส พื้นที่สีเขียว ชอปปิงเซ็นเตอร์ ตลอดจน พื้นที่สำหรับทำงาน (Co-Working Space)"

เธอยังกล่าวว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยยังมีความน่าสนใจเพราะโอกาสในการสร้างผลกำไรยังถือว่า สูงกว่าหากเทียบกับเมืองที่มีมูลค่าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่าง ฮ่องกง ราคาสูงกว่าประเทศไทย 40% และสิงคโปร์ ที่ราคาสูงกว่า 30% รวมไปถึงศักยภาพ ทำเลที่ได้เปรียบในการเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน ซึ่งติดอันดับเป้าหมายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งญี่ปุ่น จีน และสหรัฐ

ด้านนายนริศ เชยกลิ่น ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) มีความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า อสังหาฯในยุคปัจจุบันกำลังจะเข้าสู่ภาวะซัพพลายล้นตลาดภายใน 3 ปีข้างหน้า รวมถึงราคาที่สูงขึ้นมาก และยังทำให้กำไรจากการพัฒนาโครงการเริ่มลดลง โอกาสในการเข้าพักเริ่มลดลง เช่นเดียวกัน ขณะเดียวกันเทรนด์ของ ไลฟ์สไตล์และคนรุ่นใหม่จะต้องมีกิจกรรมที่รวมกันหลากหลายด้าน เป็นการสร้างสังคม ความบันเทิง และการทำงานให้รวมอยู่ที่เดียวกันเกิดการปฏิสัมพันธ์กันในพื้นที่ (Engagement) "ที่พักใจกลางเมืองที่เป็นโครงการเดี่ยวจะเริ่มราคาสูงและล้นตลาดในอีก 3 ปี ข้างหน้า ซึ่งความต้องการในการเช่าออฟฟิศราคาสูงไม่จำเป็นอีกต่อไป โดยเฉพาะในย่านธุรกิจใจกลางเมือง (CBD -Central Business District) จึงต้องมองหาโอกาสของการพัฒนา โครงการใหม่ในทำเลอื่นในกรุงเทพฯ ในรูปแบบมิกซ์ยูส เพื่อกระจาย ความเสี่ยงและสร้างความหนาแน่น ชุมชน และไลฟ์สไตล์ในพื้นที่ที่เป็นศูนย์รวม ทุกด้านทั้งโรงแรม โรงพยาบาล ย่านชอปปิง แหล่งบันเทิงต่างๆ"

ทั้งนี้ความท้าทายของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คือแนวทางการกำกับดูแลของภาครัฐ ที่การพัฒนาโครงการยังต้องการการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การประปา ไฟฟ้า รวมถึงระบบขนส่งมวลชน เข้าถึงโครงการนอกเมืองที่กำลังจะกระจายความเจริญไปสู่พื้นที่รอบนอก

 
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ