เมกะโปรเจกต์หนุนรับสร้างบ้านโตกลุ่มบิวท์ฯมั่นใจทำยอดขาย900ล.ได้
Loading

เมกะโปรเจกต์หนุนรับสร้างบ้านโตกลุ่มบิวท์ฯมั่นใจทำยอดขาย900ล.ได้

วันที่ : 9 กุมภาพันธ์ 2561
เมกะโปรเจกต์หนุนรับสร้างบ้านโตกลุ่มบิวท์ฯมั่นใจทำยอดขาย900ล.ได้

กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ฟันธงอสังหาฯและรับสร้างบ้านเติบโตอีกหลายปี อานิสงส์เมกะโปรเจกต์รัฐ ความชัดเจน พ.ร.บ.อีอีซี ดึงนักลงทุนทะลักเข้าไทย ระบุครึ่งปีหลังต้นทุนวัสดุก่อสร้างขยับตามภาวะเติบโตของเศรษฐกิจ ดันราคาขยับขึ้น 3-5% พร้อมออกแบบ 6 บ้าน ใหม่ ภายใต้แนวคิด "Loft Serries" คาดสิ้นปีมียอดขายรวม 900 ล้านบาท โต 8-10%

นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 4% ซึ่งมีดัชนีหลายตัวที่ดีขึ้น ทั้งภาคเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ขณะที่ปัจจัยบวกในประเทศ น้ำหนักจะเป็นเรื่องการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐ การก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่จะทำให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนเกิดขึ้นตามมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะเป็นการผลักดันให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว อย่างเป็นรูปธรรม ส่งผลต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และตลาดรับสร้างบ้านมีอัตราการเติบโตด้วยเช่นกัน

"ความชัดเจนของร่างพระราชบัญญัติอีอีซี จะดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทยอย่างมาก แต่กระนั้น ก็มีความกังวลเรื่อง ปัญหาแรงงาน ที่จะตามมา ซึ่งในช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไปคาดว่าแรงงานจะเริ่มตึงตัวมากขึ้น และเป็นที่แน่นอนว่าจะส่งผลต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และขีดความ สามารถของธุรกิจรับสร้างบ้านอีกด้วย"

ทั้งนี้ บริษัทมองว่า ในครึ่งปีหลัง ต้นทุนปรับขึ้นแน่ประมาณ 5-10% แต่ จะไปมีผลต่อราคาบ้านขึ้นประมาณ 3-5% และคิดว่า ในปี 2562 ราคาวัสดุก่อสร้างจะขึ้นรุนแรง จากการเร่งโครงการขนาดใหญ่ แน่นอน เรื่องแรงงานเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งในปีนี้บริษัทมีกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ควบคุมงานก่อสร้าง รวมไปถึงการให้บริการและการดำเนินงานตลาดผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า"

ทั้งนี้ แผนธุรกิจในปีนี้ บิวท์ ทู บิวด์ ยังคงเน้นรักษาระดับการเติบโต กล่าวคือ วางเป้าว่าจะมีรายได้เติบโต 8-10% หรือมีรายได้ที่ 900 ล้านบาท จากปี 60 ที่มียอดขาย 830 ล้านบาท รวมไปถึงแผนการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในด้านคุณภาพและมาตรฐานงานก่อสร้างบ้าน นอกจากนี้บริษัทได้ออกแบบบ้านใหม่ภายใต้แนวคิด"Loft Serries" จำนวน 6 แบบ (แบ่งเป็นแบบ บ้าน บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ มี 4 แบบ แบบสมอลล์เฮาส์บิวเดอร์ มี 2 แบบ) พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 130-405 ตร.ม. ระดับราคา เริ่ม 3-8 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาบ้านที่กลุ่มบริษัทฯครองตลาดนี้อยู่จำนวนมาก และเป็นตลาดที่มีความต้องการเป็นจำนวนมาก

สำหรับสถานการณ์เกี่ยวกับกำลังซื้อนั้น ในช่วงที่ผ่านมา ภาพรวมสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ลูกค้าในกลุ่มที่จะปลูกสร้างบ้านระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งปัญหาดังกล่าว จะเหมือนกับโครงการบ้านจัดสรร โดยในระบบ ยอดปฏิเสธสินเชื่อของรับสร้างบ้านประมาณ 30%  ดังนั้น หากลูกค้าใช้บริการรับสร้างบ้านกับบริษัทที่มีชื่อเสียง เป็นที่น่าเชื่อ ก็จะมีผลต่อการสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงิน และเรื่องการบริหารความเสี่ยง มีผลต่ออัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะได้รับการดูแล เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จะลดดอกเบี้ยลง 0.50%

 
ที่มา : ผู้จัดการรายวัน 360 องศา