โสสุโก้วอนรัฐออกมาตรการกีดกันกระเบื้องจีนแย่งแชร์ตลาดไทย
Loading

โสสุโก้วอนรัฐออกมาตรการกีดกันกระเบื้องจีนแย่งแชร์ตลาดไทย

วันที่ : 9 มกราคม 2560
โสสุโก้วอนรัฐออกมาตรการกีดกันกระเบื้องจีนแย่งแชร์ตลาดไทย

"โสสุโก้" วอนรัฐออกมาตรการกีดกันสินค้าราคาถูกจากจีนตีตลาดไทยก่อนผู้ผลิตไทยเจ๊ง พร้อมเร่งพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ พิมพ์ลายกระเบื้องด้วยระบบดิจิทัลสร้างความคมชัดสมจริง หวังหนีกระเบื้องราคาถูกจากจีน เผยแผนปี 60 ปรับกลยุทธ์รุกอาเซียนตั้งเป้าเพิ่มยอดส่งออก 28%

นายกิตติชัย ไกรก่อกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดกระเบื้องปูพื้นและบุผนังของไทยในปี 2559 อยู่ในสภาวะชะลอตัว เนื่องจากได้รับผลกระทบ จากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจ ไทยชะลอตัวต่อเนื่องติดต่อกันมาหลายปี นอกจากนี้ผู้บริโภคในต่างจังหวัดยังได้รับผลกระทบจากราคาพืชผลทางการเกษตร และผลผลิตตกต่ำ หนี้ครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อผู้บริโภค ลดลง โดยภาพรวมตลาดกระเบื้องในปี 2559 ติดลบประมาณ 10% จากปี 2558 ตลาดติดลบประมาณ 5-6% จากมูลค่าตลาดรวมกระเบื้องในปัจจุบันประมาณ 26,000-27,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกระเบื้องปูพื้น 80% ปูผนัง 20%

นอกจากนี้ ตลาดกระเบื้องของไทยยังได้รับผลกระทบจากกระเบื้องจีนที่เข้ามาตีตลาด โดยการขายในราคาถูก ทำให้กระเบื้องไทยถูกแย้งตลาดไปบางส่วน ในขณะที่ผู้ผลิตไทยไม่สามารถลดราคาไปแข่งขันได้เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่า อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับตัวมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหนีการแข่งขันด้านราคา ด้วยการผลิตกระเบื้องที่มีคุณภาพ พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างความแตกต่างจากกระเบื้อง จีน มากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการออกแบบใหม่เพราะถูกลอกเลียนแบบได้

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจีนเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาดจากผู้ประกอบการชาวไทย ประมาณ 23% หรือปีละประมาณ 7,000 ล้านบาท โดยจำหน่ายสินค้าในราคาที่ถูกแต่คุณภาพต่ำ นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งจากอินเดีย ที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในประเทศ ไทยได้ประมาณ 2 ปี โดยเจาะตลาดปูพื้น จำหน่ายในราคาที่ใกล้เคียงกับสินค้าที่มาจากจีน ซึ่งผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายเล็กจะชอบใช้สินค้าจากจีนและอินเดีย เพราะจะช่วยลดต้นทุนได้โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพสินค้า

"ปัญหาสินค้าจีนเข้ามาตีตลาดไทยเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว หากรัฐบาลไม่มีมาตรการป้องกัน ผู้ประกอบการไทยน่าจะแย่ ซึ่งปัจจุบันต้องช่วยตัวเองด้วยการฉีกแนวสินค้าให้แตกต่างและขยายตลาดใหม่ๆ ให้มากขึ้น ในส่วนของบริษัทเองก็พยายามส่งเสริมดีลเลอร์ด้วยการออกแบบ ปรับปรุงหน้าร้านให้มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์มากขึ้น โดยปัจจุบันมีดีลเลอร์ทั่วประเทศทั้งสิ้น 1,700 ราย ถือว่าลดน้อยลงจากในช่วงปี 2552-2553 ที่มีมากถึง 2,000 ราย ทั้งนี้เนื่องจากมีโมเดิร์นเทรดเข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาด และทายาทรุ่นใหม่ของดีลเลอร์ไม่สานต่อธุรกิจ" นายกิตติชัย กล่าว

โดยในปัจจุบัน รูปแบบการซื้อสินค้าของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปตามไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยเฉพาะผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่หันมาเลือกซื้อสินค้าหรือค้นหาข้อมูลสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ และซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริโภคยังคงต้อง การดูสินค้าจริงที่โชว์รูมหรือร้านค้าตัวแทนจำหน่ายอยู่ ต่างจากในอดีตที่ลูกค้าจะเลือก ซื้อสินค้าจากโชว์รูมหรือร้านค้าตัวแทนจำหน่ายเพียงอย่างเดียว ดังนั้น เพื่อเป็น การปรับตัวให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภค บริษัทจึงหันมาพัฒนาระบบการจัดจำหน่าย และช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่านระบบออนไลน์เพิ่มขึ้น รวมถึงการจำหน่ายผ่านช่องทางอื่นๆ ที่นอกเหลือจากโมเดิร์นเทรดและดีลเลอร์ นอกจากนี้ยังตกแต่งโชว์รูมและร้านค้าดีลเลอร์ใหม่เพื่อให้มีรูปลักษณ์ที่ทันสมัย สวยงามมีความโดดเด่น

สำหรับแผนการดำเนินงานของ บริษัทฯในปี 2560 จะมุ่งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์กระเบื้องปูพื้นและบุผนังที่พิมพ์ลายด้วยระบบดิจิทัลเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ลวดลายคมชัด ดูสมจริงเหมือนธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นลายไม้ ลายอิฐ ลายหิน หรือลายไม้เลื้อยห้อยระย้า เหมาะสำหรับใช้ตกแต่งบ้านเรือน โรงแรม คอนโดมิเนียม เน้นกระเบื้องแผ่นใหญ่โดยกระเบื้องปูพื้นมีขนาด 60 x 60 เซนติเมตร และสำหรับ บุผนังขนาด 30 x 50 เซนติเมตร, 30 x 60 เซนติเมตร เนื่องจากกระเบื้องขนาดใหญ่ขึ้นทำให้เห็นรอยต่อน้อยลง ช่วยให้พื้นผิวกระเบื้องที่ต่อกันแลดูสวยงามกลม กลืน และมีความสมจริงมากยิ่งขึ้น

"ในปี 2560 โสสุโก้เตรียมแผนรุกตลาดเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค และสร้างการจดจำมากขึ้น เพื่อเป็นตัวแทนผลิตภัณฑ์เป็นครั้งแรกในเร็วๆ นี้ โดยมาสคอตดังกล่าว เป็นรูปแบบที่ถูกพัฒนาขึ้นจากผลงาน "ช่างเต่าโสสุโก้" ฝีมือออกแบบผลงาน ของเยาวชนไทยที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดออกแบบในโครงการ SOSUCO MASCOT DESIGN CONTEST ที่ผ่านมา" นายกิตติชัย กล่าว

สำหรับการจัดจำหน่ายสินค้าของ บริษัทฯจะเป็นการขายผ่านดีลเลอร์ 100% โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 119-300 บาท/ตารางเมตร ซึ่งตรึงราคามานานถึง 35 ปีแล้ว และยังไม่มีนโยบายที่จะปรับราคาขึ้นมาแต่อย่างใด ปัจจุบันเดินกำลังการผลิต 35 ล้านตารางเมตร/ปี จากกำลังการผลิตทั้งหมด 50 ล้านตารางเมตร/ปี

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนขยายฐานการส่งออกกระเบื้องเซรามิกปูพื้นและบุผนังภายในและนอกบ้านเพิ่มมากขึ้นจากเดิม สัดส่วน 20% เป็นสัดส่วน 28% ได้แก่ประเทศเมียนมา กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ศรีลังกา และบรูไน ที่มีแนวโน้มการเติบโตค่อนข้างดีภายหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) เนื่อง จากมองว่าในปี 2560 ตลาดในประเทศไทยยังไม่มีแนวโน้มที่จะเติบโต เพราะประชาชน ส่วนใหญ่ยังมีหนี้ครัวเรือนที่สูง ภาคเกษตร ก็ยังไม่ดีขึ้น อีกทั้งประชากรใหม่ก็เกิดน้อยลง ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินก็เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ดังนั้นผู้ประกอบการก็ต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด ด้วยการปรับสินค้าให้น่าสนใจ ด้วยดีไซน์ใหม่สวยงาม ในราคาที่ไม่แพงมากนัก คือตารางเมตรละประมาณ 200 บาท

ดังนั้น การสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ และผลิตภัณฑ์จะเป็นกลยุทธ์หลักที่ใช้ในการรุกตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน และอนาคต อีกทั้งผลิตภัณฑ์นั้นต้องสามารถ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ด้วย

ที่มา : ผู้จัดการรายวัน 360 องศา