พฤกษาชี้ LTV-ลูกค้าจีนหาย
Loading

พฤกษาชี้ LTV-ลูกค้าจีนหาย

วันที่ : 17 ธันวาคม 2561
พฤกษาระบุ LTV ลูกค้าจีนหายฉุดอสังหาฯปี 62 โตแค่ 5% เร่งปรับแผนรับมือหันลดเป้าหมายลูกค้าจีนเหลือ 10% เน้นสร้างตึกสูงยืดเวลาผ่อนดาวน์ เผยเจรจานอนแบงก์ช่วยลูกค้า ซื้อบ้านง่ายขึ้น ปีหน้าเปิดโครงการใหม่ลดลงเน้นพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ มั่นใจยอดขายโตกว่า 61
          ปัจจัยลบฉุดอสังหาฯปี62โตแค่5%

          พฤกษาระบุ LTV ลูกค้าจีนหายฉุดอสังหาฯปี 62 โตแค่ 5% เร่งปรับแผนรับมือหันลดเป้าหมายลูกค้าจีนเหลือ 10% เน้นสร้างตึกสูงยืดเวลาผ่อนดาวน์ เผยเจรจานอนแบงก์ช่วยลูกค้า ซื้อบ้านง่ายขึ้น ปีหน้าเปิดโครงการใหม่ลดลงเน้นพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ มั่นใจยอดขายโตกว่า 61

          นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษาเรียลเอสเตท-แวลู บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) คาดการณ์แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 ว่า ตลาดอสังหาฯจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบหลายประการโดยเฉพาะมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ใช้ควบคุมการปล่อยสินเชื่อบ้านของธนาคารพาณิชย์ แต่อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวปัจจุบันยังไม่ส่งผล กระทบเนื่องจากจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562 ซึ่งในระหว่างนี้ยังถือเป็นอานิสงส์ที่ทำให้เกิดการเร่งซื้อ เร่งโอนก่อนที่มาตรการจะมีผลบังคับใช้

          นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากตลาดต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีนที่ถือเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของตลาดอสังหาฯไทย เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ จีน และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาที่จะทำให้ ตลาดคนจีนหายไปในปีหน้า รวมถึงปัญหากลุ่มลูกค้าตลาดกลาง-ล่าง ที่ประสบปัญหาหนี้ครัวเรือนและการขอสินเชื่อยากหรือถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวเพื่อรับมือ

          "ตลาดอสังหาฯปี 2562 จะโตแค่ครึ่งหนึ่งของปีนี้ ซึ่งตัวการสำคัญมาจากมาตรการ LTV ที่จะทำให้กลุ่มนักลงทุนและกลุ่มเกร็งกำไรหายไปจากตลาด รวมถึงกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่จะหายไปบางส่วน ซึ่งปัจจุบัน พฤกษามีลูกค้าชาวต่างชาติ 40% เพิ่มจาก 10% ในช่วง ก่อนหน้านี้ ในจำนวนนี้เป็นลูกค้าชาวจีน 15% แต่ปัจจุบัน ยังไม่เห็นสัญญาณการทิ้งดาวน์ ลูกค้าชาวจีนยังรับโอน โดยเฉพาะแชปเตอร์ วัน ห้วยขวางที่ลูกค้าชาวจีนโอนมากถึง 2,000 ล้านบาท โครงการพลัม รามคำแหง และเดอะ ทรี โอ เป็นต้น ปัจจุบันลูกค้าชาวจีนยังคงซื้ออสังหาฯไทย แต่อาจไม่ร้อนแรงเช่นที่ผ่านมาเนื่องจากมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ"นายปิยะกล่าว

          นายปิยะ กล่าวต่อว่า พฤกษาได้เตรียมปรับแผนการดำเนินงานเพื่อรองรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยจะปรับลดเป้าหมายลูกค้าชาวจีนลงเหลือ 10% โครงการที่จะพัฒนาเพื่อรองรับลูกค้าชาวจีนก็จะปรับใหม่ ส่วนปัญหา LTV ได้ปรับแผนการพัฒนาจากโครงการคอนโดฯโลว์ไลท์ เป็นการพัฒนาตึกสูงแทนเพื่อยืดระยะเวลาผ่อนดาวน์ให้นานขึ้นเป็น 18-24 เดือน ขณะที่บ้านแนวราบก็จะเพิ่มเวลาผ่อนดาวน์นานขึ้น 4-6 เดือน จากเดิมขายบ้านสร้างเสร็จ

          นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างเจรจากับพาร์ตเนอร์ธุรกิจ ที่เป็นนอนแบงก์ในการหาแนวทางในการช่วยให้ลูกค้าสามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านได้ หรือเตรียมความพร้อมก่อนจะขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้าน การทำเช่าซื้อเป็นต้น โดยขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป

          "ปีหน้าพอร์ตที่จะขายคนจีนจะอยู่ที่ 10%  และพอร์ตตึกเตี้ยจะน้อยลง พอร์ตสั้นจะลดลง จะเหลือแต่พอร์ตระยะยาว ถ้าเป็นตึกสูงก็ผ่อนดาวน์นาน 2 ปี ในส่วนของกลุ่มแวลูจะพัฒนาคอนโดฯแบรนด์ไอวี่ ในย่านสุขุมวิทจะมี 2 โครงการ ไอวี่ สุขุมวิท 18 บริเวณ ต้นซอย เนื้อที่ 3 ไร่ ราคาตารางเมตร 2 แสนต้นๆ มูลค่าไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท อีกโครงการอยู่บริเวณอโศก ติดรถไฟฟ้า 0 เมตร เป็นแบรนด์กลุ่มไอวี่" นายปิยะ กล่าว

          ส่วนผลการดำเนินงานของพฤกษาในปีนี้คาดว่ายอดขายจะโตประมาณ 10% จากปี 2560 ที่มียอดขาย 47,536 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากแคมเปญ Big Sale Ever ที่นำสต๊อกบ้านพร้อมขายมูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท มาจัดแคมเปญลดราคาเร่งการขาย ซึ่งปัจจุบันแคมเปญดังกล่าวสามารถสร้างยอดขายได้แล้วประมาณ 4,000 ล้านบาท

          อย่างไรก็ตาม ในส่วนของยอดรายได้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3-5% จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 43,922 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาตลาดบ้านแนว ราบระดับกลาง-ล่างที่ลูกค้าขอสินเชื่อยาก โดยเฉพาะบ้านราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ลูกค้าประสบปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ซึ่งในส่วนลูกค้าบ้านแนวราบของพฤกษาถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินประมาณ 6% หาก รวมปัญหาที่ลูกค้าไม่พร้อมจะอยู่ที่ประมาณ 10% ส่วนคอนโดมิเนียมจะมีปัญหาเป็นบางโครงการยอดปฏิเสธ สินเชื่อขึ้นไปสูงถึง 30% แต่โดยรวมถือว่าไม่สูงมาก

          ส่วนแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2562 จะ น้อยกว่าปีนี้ แต่จะเน้นโครงการขนาดใหญ่พัฒนาระยะ ยาว เน้นตึกสูง ซึ่งทุกโครงการที่เปิดขายจะต้องมีความ พร้อมหรือเป็นที่ต้องการของตลาด โดยจะมีสัดส่วนบ้านเดี่ยว 20% ทาวน์เฮาส์ 40% และคอนโดฯ 40% แม้ว่าจำนวนโครงการที่จะเปิดขายน้อยลง แต่ยอดขายยังคงเติบโต เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ