แอลทีวีคุมอสังหาอยู่หมัด
Loading

แอลทีวีคุมอสังหาอยู่หมัด

วันที่ : 7 พฤษภาคม 2562
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตั้งแต่มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการแอลทีวี)มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เป็นต้นมา ทำให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินชะลอตัวลง
          ลามแบงก์เข้มปล่อยกู้ กังวลหนี้เสียพ่งพรวด

          นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตั้งแต่มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการแอลทีวี)มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.เป็นต้นมา ทำให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินชะลอตัวลง เนื่องจากช่วงก่อนที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปลายปี 61 จนถึงไตรมาสแรกปีนี้มีการเร่งขอสินเชื่อไปมากพอสมควร เพราะผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเร่งโอนกรรมสิทธิ์ เพื่อระบายยอดคงค้างที่มีอยู่ในโครงการ โดยประเมินว่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะชะลอจนถึงปลายปีนี้ ก่อนจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งช่วงสิ้นปีตามฤดูกาลสินเชื่อที่อยู่อาศัย

          ทั้งนี้จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ระบุภาพรวมสินเชื่อในเดือน มี.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.65 หมื่นล้านบาท หรือ 0.14% จากเดือนก่อน แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน สินเชื่อสุทธิชะลอ 4.98% ทำให้ประเมินว่าสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไทย อาจยังคงต้องรอบรรยากาศการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งยังคงคาดสินเชื่อทั้งปีเติบโต 5% และจะติดตามการเบิกใช้สินเชื่อของภาคธุรกิจในระยะข้างหน้า รวมถึงผลกระทบต่อทิศทางสินเชื่อบ้านซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงครึ่งหนึ่งของพอร์ตสินเชื่อรายย่อยของระบบธนาคารพาณิชย์ หลังมาตรการแอลทีวีมีผลบังคับใช้

          รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แนวโน้มสินเชื่อสถาบันการเงินในไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะมีความต้องการขอสินเชื่อจากภาคครัวเรือนลดลง โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยภายหลังการบังคับใช้มาตรการแอลทีวีแต่ในขณะที่ความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการบริโภคภาคครัวเรือน โดยสถาบันการเงินยัง คงเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ตามภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์และคุณภาพของผู้กู้ ซึ่งต่อเนื่องมาจากไตรมาสแรกที่เข้มงวดทุกประเภท เช่น สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่คุณภาพสินเชื่อมีแนวโน้มด้อยลงจากมาตรฐานการให้สินเชื่อที่ผ่อนคลายในช่วงที่ผ่านมา

          "ความต้องการสินเชื่อภาคครัวเรือนปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนในสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่ความต้องการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค อื่น ๆ ลดลง โดยสถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อในทุกวัตถุประสงค์โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์"

          นอกจากนี้ยังประเมินสินเชื่อธุรกิจในไตรมาส 2 มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อใช้ลงทุนสินทรัพย์ถาวรในหมวดการผลิตพลังงานไฟฟ้า หมวดอาหารและเครื่องดื่มที่ผลิตเพื่อส่งออก รวมถึงหมวดก่อสร้างด้านการรับเหมาก่อสร้างโครงการลงทุนภาครัฐ ทั้งโครงการลงทุนในอีอีซี รถไฟทางคู่และรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ส่วนความต้องการสินเชื่อของธุรกิจเอสเอ็มอี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจำกัด โดยเฉพาะในภาคการค้าซึ่งยังรอความชัดเจนหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

          อย่างไรก็ตามความต้องการสินเชื่อภาคธุรกิจในไตรมาสที่ 1 ปี 62 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนตามความต้องการสินเชื่อของกลุ่มธุรกิจ ขนาดใหญ่ที่มากกว่าคาด เพื่อใช้ลงทุนสินทรัพย์ถาวร ผลิตสินค้าคงคลัง และเป็นเงินทุนหมุนเวียนโดยเฉพาะในโครงการลงทุนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประกอบกับบางธุรกิจขอสินเชื่อเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ควบรวมกิจการ โดยความต้องการสินเชื่อของธุรกิจเอสเอ็มอี ปรับเพิ่มขึ้นจากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่มากกว่าคาด ทั้งในภาคเกษตรเพื่อใช้บริหารจัดการผลกระทบของภัยแล้งในบางพื้นที่และในภาคการค้าที่มีสภาพคล่องลดลง

          "มาตรฐานการให้สินเชื่อภาคธุรกิจในไตรมาสที่ 1 ปี 62 สถาบันการเงินระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะสินเชื่อที่ให้แก่ธุรกิจขนาด ใหญ่ โดยปัจจัยหลักมาจากภาวะของอุตสาหกรรมและภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะเพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อ โดยเฉพาะที่ให้แก่ธุรกิจขนาดใหญ่"