ไฟแนนเชียลโปรดักท์ แนวรบใหม่ ฮาบิแทท เจาะอสังหาฯลงทุน
Loading

ไฟแนนเชียลโปรดักท์ แนวรบใหม่ ฮาบิแทท เจาะอสังหาฯลงทุน

วันที่ : 5 ธันวาคม 2562
ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในไทย ได้แก่ การลงทุน ในคอนโดมิเนียม หรือวิลล่าตากอากาศ ที่ผ่านมาจะชูกลยุทธ์การขายด้วยการ "การันตีผลตอบแทน" โดยกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นต่างชาติ ทั้งชาวจีน รัสเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และ ญี่ปุ่น
    บุษกร ภู่แส
    กรุงเทพธุรกิจ

    ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในไทย ได้แก่ การลงทุน ในคอนโดมิเนียม หรือวิลล่าตากอากาศ ที่ผ่านมาจะชูกลยุทธ์การขายด้วยการ "การันตีผลตอบแทน" โดยกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นต่างชาติ ทั้งชาวจีน รัสเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และ ญี่ปุ่น

    ทว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ที่ผ่านมา ลูกค้า ชาวต่างชาติจำนวน "ลดลง"ปัจจัยหนึ่งเกิดจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลกระทบ ต่อเศรษฐกิจไทย รวมทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่า ขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯเพื่อการลงทุน เริ่มกระจายความเสี่ยงด้วยการหันมาจับกำลังซื้อลูกค้าในประเทศที่ต้องการลงทุน ไปพร้อมกับการหากลยุทธ์การขายใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้า โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ "Collaboration" กับแบรนด์ต่างชาติ ให้เข้ามาช่วยบริหารเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ กับกลุ่มเป้าหมายที่เข้ามาลงทุน ภายใต้แบรนด์ต่างๆ อาทิ วินแดม (WYNDHAM), ฮิลตัน(Hilton) ,รามาด้า บาย วินด์ดัม ฯลฯ

    ชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้ประกอบการโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ประเมินสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ เพื่อการลงทุนในปี 2563 ว่า ยังคงมีแนวโน้ม การเติบโตที่ดี แม้จะหวือหวาเหมือนในอดีต สังเกตจากการที่หลายผู้ประกอบการอสังหาฯ เปลี่ยนโมเดลธุรกิจจากเดิม ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเป็นที่พักอาศัยเพื่อขายมาพัฒนาคอนโดเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุนในรูปแบบการปล่อยเช่าเป็นโรงแรมเพื่อเป็นการสร้างรายได้ ประจำมากขึ้น เพราะตลาดอสังหาฯ เพื่อขายชะลอตัว ประกอบกับกลุ่มนักลงทุนในตลาดหุ้น พันธบัตร และกองทุนเริ่มหันมาให้ความสนใจลงทุนโครงการอสังหาฯมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยง

    ชนินทร์ มองว่า ในฐานะเป็นผู้บุกเบิก ตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุนมานาน จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อรับมือการแข่งขันจากคู่แข่งที่เข้ามาเติมในตลาด จากเดิมให้ความสำคัญกับการตลาดแบบ 4P ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจำหน่ายและการส่งเสริมการขาย แต่ปัจจุบัน "ไม่เพียงพอ" ต้องเพิ่มวิธีการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ด้วยการทำสัมมนาให้ความรู้ จากเดิมทำเฉพาะตลาดพัทยาซึ่งเป็นฐานที่มั่นหลัก จะมาทำในตลาดกรุงเทพฯใน ปี 2563 เพื่อขยายฐานลูกค้า อยากซื้อเพื่อลงอสังหาฯ แต่ต้องการเพิ่มเติมความรู้ รวมทั้งกลุ่มนักลงทุนพันธบัตรที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อดึงมาเป็นลูกค้าได้

    อาทิ การจับมือกับ แจลุกซ์ ที่มีประสบการณ์การบริหารอสังหาริมทรัพย์ ประเทศญี่ปุ่นในการปล่อยเช่า ล่าสุดได้จับมือ กลุ่มฟันด์ บริษัท อีซีจี-รีเซิร์ซ จำกัด มาร่วมพัฒนาแพกเกจ "PEREF CARE-Pay Less,Earn More" ให้กับกลุ่มนักลงทุน อสังหาฯ ในโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 และวาลเด้น ทองหล่อ 13 ซึ่งทั้ง 2 โครงการเป็น คอนโด ลักชัวรี่โลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาท

    "ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีเงินสด พร้อมที่ลงทุนหากโครงการนั้นให้ ผลตอบแทนดี โดยจ่ายดาวน์เยอะหน่อย 70-80%     ส่วนเกินจากการจ่ายดาวน์ ทางอีซีจีฯนำไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจนกระทั่งโครงการสร้างเสร็จจะคืนเงินต้นบวกรีเทิร์นให้ เหมือนกับได้ส่วนลดเพิ่มขึ้น "

    กลยุทธ์การต่อยอดธุรกิจด้วยการนำ "ไฟแนนเชียลโปรดักท์" ผสมเข้ามาในการให้บริการเสมือนเป็นการเพิ่มอาวุธ ในการดึงกลุ่มลูกค้าที่มีเงินสดเข้ามาลงทุน ส่วนกลุ่มซื้อเช่าจะได้มาจากแจลุกซ์ ที่มีฐานลูกค้าคนญี่ปุ่นเข้ามาในโครงการท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง จำเป็นต้องสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดด้วยกลยุทธ์แปลกใหม่ เพื่อให้ลูกค้าเห็นถึงความ แตกต่างที่ชัดเจน

    "วันนี้ 4Pเอาไม่อยู่เนื่องจากคน ชะลอการซื้อเพราะไม่มั่นใจ ทั้งที่จริงๆจังหวะเวลานี้ เหมือนตลาดหุ้น เมื่อไรที่ตลาดตก ต้องรีบซื้อเพราะได้ราคาดี"

    ส่วนแผนธุรกิจในปี 2563 ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังคงเน้นการพัฒนาโครงการเพื่อการลงทุนในรูปแบบไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ ด้วยการโฟกัสการลงทุนในพื้นที่พัทยาเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางภาคตะวันออก เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี)การพัฒนาขยายสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินพาณิชย์ และโครงการลงทุนรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน ระหว่างสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบิน อู่ตะเภา ตอกย้ำการลงทุนระยะยาว ของภาคตะวันออก

    โดยจะเปิดเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส 1 โครงการ บนทำเลติดทะเลนาจอมเทียน ประกอบด้วย คอนโดซื้อเพื่อลงทุนและคอนโดซื้อเพื่ออยู่อาศัย และโรงแรมระดับ 5 ดาว มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทได้ลงทุนพัฒนาโครงการในพัทยาไปแล้วทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 5,500 ล้านบาท

    ทั้งนี้ เป็นโครงการที่ได้เปิดให้บริการในรูปแบบของโรงแรมแล้วจำนวน 3 แห่งคือ เดอะ วิลล์ จอมเทียน, ครอสทูไวส์ พัทยา ซีเฟียร์, ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ และเตรียมเปิดบริการเพิ่มอีก 2 แห่งในปี 2563 คือ บลูเฟียร์ บีดับเบิลยู พรีเมียร์ คอลเล็คชั่น บาย เบสท์ เวสเทิร์น และเบสท์เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา ส่วนในกรุงเทพฯ เน้นการลงทุนในทำเลย่าน อโศก พร้อมพงษ์ และทองหล่อ
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ