คอลลิเออร์ส เผยภาพรวมคอนโดมิเนียมปี 2562 เปิดขายใหม่ลดลง 33.4% ขณะราคาขายลดลง 7.1% เหตุคอนโดเปิดตัวใหม่อยู่รอบนอก เกือบครึ่งราคาต่ำกว่าแสนบาทต่อตร.ม. ประเมินปีหน้า ราคาลดลง 8-10% เหตุนักพัฒนาฯวิ่งเข้าหาดีมานด์ เร่งระบายสต็อก

    นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รอง ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด สรุปภาพรวม ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯในปี 2562 พบว่า มีอุปทานคอนโด เปิดขายใหม่ทั้งสิ้นอยู่ที่ 44,662 ยูนิต จากมูลค่าการพัฒนาโครงการ 219,180 ล้านบาท ลดลง 33.4% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีการเปิดตัวสูงถึง 66,021 ยูนิต อุปทานเปิดขายใหม่กลับไปใกล้เคียง ในปี 2560 อยู่ที่ 44,065 ยูนิต

    ทั้งนี้แผนกวิจัย คอลลิเออร์สฯ ยังคาดการณ์ว่า อุปทานคอนโดที่เปิดขายใหม่ในปี 2563 จะอยู่ที่ 40,000-43,000 ยูนิต ใกล้เคียงหรือปรับลดลงเล็กน้อยช่วงปี 2560

    "การเปิดตัวคอนโดในกรุงเทพฯ ปี2562 อยู่ในภาวะชะลอตัวอุปทานในตลาดลดลง จากการเปิดตัวใหม่ลดลง 40% จากที่วางแผนการเปิดตัวไว้ในช่วงต้นปีเพราะหลายโครงการเลื่อนการเปิดตัวไปเป็นปีหน้า ขณะที่ สัดส่วน 44% หรือจำนวน 19,514 ยูนิต เน้นเปิดตัวในเขตกรุงเทพฯ ชั้นนอก เพราะราคาที่ดินไม่สูง สามารถ ขายได้ต่ำกว่า 1 แสนบาทตารางเมตร (ตร.ม.) มีเพียง 18 โครงการ หรือ 5,753 ยูนิต ที่เปิดตัวในพื้นที่ชั้นใน ประกอบด้วย สาทร, สีลม, สุขุมวิทตอนต้น ถือเป็นทำเลที่ยังมีดีมานด์ทั้งต่างชาติ นักลงทุนที่สามารถปล่อยเช่าได้" สำหรับราคาขายเฉลี่ยของคอนโดเปิดขายใหม่ในปี 2562 อยู่ที่ประมาณ 123,130 บาทต่อตร.ม.ลดลง ประมาณ 7.1% จากในปีที่ผ่านมา เนื่องจากโครงการเปิดขายใหม่ เกือบครึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก และสัดส่วน 45.9% หรือ ประมาณ 20,493 ยูนิตที่เปิดขายใหม่อยู่ในระดับราคา 50,000 - 100,000 บาท ต่อตร.ม. จึงทำให้ราคาทั้งตลาด ลดลง ทั้งนี้แนวโน้มทำเลที่โดดเด่นในปี 2563 เน้นพื้นที่กรุงเทพฯรอบนอก ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่าง การก่อสร้าง เป็นอีกทำเลที่น่าจับตามอง เนื่องจากผู้ประกอบการยังสามารถพัฒนาโครงการในระดับราคา 50,000-100,000 บาทต่อตร.ม. เพื่อรองรับโอกาสรถไฟฟ้าในอนาคต โดยเฉพาะแนวรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงพระราม 9 -ลำสาลี ในส่วนของราคาเฉลี่ยคอนโด ในปี 2563 โครงการที่มีการเปิดตัวใหม่และโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจะใกล้เคียงกับในช่วงปี 2562 หรืออาจจะปรับลดลงประมาณ 8-10% เนื่องจากเกรงว่าหากตั้งราคาขายที่สูงไปจะส่งผลให้โครงการแข่งขันได้ยากในภาวะที่ตลาดชะลอตัวเพราะภาพรวมกำลังกำลังซื้อยังชะลอตัว แม้จะตั้งอยู่บนทำเลที่ต้องการก็ตาม ที่สำคัญอาจจะมีการเร่งระบายสต็อก โดยการนำโครงการที่ก่อสร้างเสร็จ มาลดราคาให้สอดคล้องกับโครงการ ภาครัฐสนับสนุนการลดค่าโอน กรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง