เลือกช้อปสะสมAP-LH-SPALI คาดปีหน้ากำไรโต-การเงินแกร่ง-ปันผลสูง
Loading

เลือกช้อปสะสมAP-LH-SPALI คาดปีหน้ากำไรโต-การเงินแกร่ง-ปันผลสูง

วันที่ : 27 ธันวาคม 2562
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ขณะนี้ได้แนะนำ “เลือกซื้อสะสมจังหวะอ่อนตัว” หุ้นอสังหาริมทรัพย์ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH และ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI โดยกำหนดราคาพื้นฐานของ AP ไว้ที่ 8.20 บาท/หุ้น ขณะที่ LH กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 10.70 บาท/หุ้น และ SPALI กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 18.50 บาท/หุ้น
        โบรกฯ เชียร์ “ซื้อสะสม” 3 หุ้นอสังหาฯ “AP-LH-SPALI” คาดกำไรสุทธิปีหน้าโตต่อเนื่อง ฐานะการเงินแข็งแกร่ง พร้อมลุ้นจ่ายปันผลงามยีลด์สูง 5-6%

        บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ขณะนี้ได้แนะนำ “เลือกซื้อสะสมจังหวะอ่อนตัว” หุ้นอสังหาริมทรัพย์ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH และ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI โดยกำหนดราคาพื้นฐานของ AP ไว้ที่ 8.20 บาท/หุ้น ขณะที่ LH กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 10.70 บาท/หุ้น และ SPALI กำหนดราคาพื้นฐานไว้ที่ 18.50 บาท/หุ้น

        สำหรับ AP มองว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีสินค้าหลากหลาย ทั้งโครงการแนวราบ และโครงการแนวสูง ครอบคลุมตลาดกลาง-บน ในทำเลที่ดี และมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุน (D/E) อยู่ที่ระดับ 0.8 เท่า ขณะที่อัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ปี 2563 อยู่ที่ระดับ 6 เท่า ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินกำไรสุทธิในปี 2563 จะเติบโตที่ประมาณ 10-13% และคาดผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ในปี 2563 อยู่ที่ระดับ 5.4%

        ขณะที่ LH มองว่าเป็นบริษัทมีโครงสร้างผลประกอบการที่กระจายตัว ซึ่งมีทั้งกำไรจากการขาย กำไรจากธุรกิจค่าเช่าและบริการ รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (ในงวด 9 เดือนของปี 2562 เฉพาะส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมนี้คิดเป็น 37% ของกำไรสุทธิ) โดยคาดการณ์กำไรสุทธิในปี 2563 จะเติบโตประมาณ 5-6% นอกจากนี้ยังมีฐานะการเงินที่ดี โดยมี D/E อยู่ที่ระดับ 0.8 เท่า และคาดการณ์ Dividend Yield ในปี 2563 จะอยู่ที่ระดับ 6.4%

        ส่วน SPALI  มองว่าเป็นบริษัทที่บริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดี ทำให้มีมาร์จิ้นอยู่ในอันดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม (ซึ่งในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ หรือ Net Profit Margin อยู่ที่ระดับ 20-22%) นอกจากนี้ SPALI ยังได้ปรับแผนและกลยุทธ์ในการดำเนินงานได้เร็ว และสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยคาดกำไรสุทธิในปี 2563 จะเติบโตที่ประมาณ 4-5% รวมทั้งยังเป็นบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง โดยมี D/E ต่ำเพียง 0.4 เท่า และมี P/E ในปี 2563 อยู่ที่ระดับ 7 เท่า คาดการณ์ Dividend Yield ในปี 2563 อยู่ที่ 5.3%

        อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยฯ มองว่าอุตสาหกรรมที่พักอาศัยในปี 2563 จะยังท้าทาย ราคาที่พักอาศัยและราคาที่ดินมีโอกาสลดลงจากปีก่อน ซึ่งในฝั่งความต้องการ (ดีมานด์) แม้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำมาก แต่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ระดับต่ำ มีโอกาสที่จะตกงานมีมากขึ้น ภาระหนี้ส่วนบุคคลและหนี้ครัวเรือนสูง ทำให้กำลังซื้อที่พักอาศัยปี 2563 จะยังซบเซา

        ขณะที่ฝั่งสินค้า (ซัพพลาย) สมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้างประเมินว่าปัจจุบันมีที่พักอาศัยรอขายในกรุงเทพฯ และปริมณฑลสิ้นปี 2562 ประมาณ 1.5 แสนยูนิต แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 42% โครงการทาวเฮ้าส์ 32% โครงการบ้านเดี่ยว 17% ที่เหลือเป็นอื่น ๆ โดยสมาคมคาดว่าอัตราการดูดซับในปี 2563 จะอยู่ที่ 3.7% ต่อเดือน ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 4.5% ซึ่งต้องใช้เวลาในการระบายสต๊อกดังกล่าวถึง 21 เดือน

        ดังนั้น จึงคาดว่าบริษัทขนาดกลาง-เล็ก ที่สภาพคล่องเริ่มตึงอาจจะต้องขายสินทรัพย์ เช่น ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ออกมาในราคาที่ไม่แพง เพื่อเอาสภาพคล่องกลับเข้าบริษัท และประคองให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไป ส่วนบางบริษัทที่อาจจะไปต่อลำบากก็มีสิทธิที่จะขายโครงการออกไปให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ราคาที่พักอาศัยในปี 2563 มีโอกาสต่ำลง ส่วนราคาที่ดินมีแนวโน้มลดลงจากพ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2563 เพราะผู้รับมรดกเป็นที่ดินบางรายไม่มีกระแสเงินสดมากพอที่จะชำระภาษีได้ ก็ต้องตัดขายที่ดินบางส่วนออกไป

        ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่จะผ่านช่วงซบเซานี้ไปได้ และยังมีโอกาสเติบโตในระยะยาว เพราะผู้ประกอบการขนาดใหญ่มีการปรับตัว ด้วยการชะลอการเปิดโครงการใหม่ และเร่งระบายสต๊อกด้วยการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง และมีระดับ Land Bank ที่ต่ำมาก ดังนั้น แม้ว่าในช่วงปี 2562-2564 ไม่ได้เป็นช่วงเติบโตของอุตสาหกรรม แต่ธุรกิจของบริษัทชั้นนำก็ยังประคองตัวไปได้ รวมทั้งยังมีความสามารถในการจ่ายปันผลได้ดี (Yield ที่ประมาณ 5-6% ต่อปี)
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ