พลัสฯเปิด6เทรนด์อสังหาฯปี หนูทอง
Loading

พลัสฯเปิด6เทรนด์อสังหาฯปี หนูทอง

วันที่ : 31 ธันวาคม 2562
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ วิเคราะห์เทรนด์ตลาดอสังหาฯ ปี 2563 จับตา 6 ปัจจัย ขับเคลื่อนธุรกิจ ประกอบไปด้วย 1. เทคโนโลยีเชื่อมต่อการอยู่อาศัย 2. โครงการที่อยู่อาศัยกลุ่ม เรียลดีมานด์ยังโตได้ 3. มิกซ์ยูสบุกตลาด 4. การร่วมมือข้ามแบรนด์ 5. โครงการใส่ใจสิ่งแวดล้อม และ 6. Leasehold มีบทบาทมากขึ้น ขณะที่ผลสำรวจความน่าเชื่อถือของบริษัทอสังหาฯ อันดับ 1 ยังเป็นเรื่องคุณภาพงานก่อสร้าง ตามด้วยการเลือกใช้วัสดุมีคุณภาพ
          พลัส พร็อพเพอร์ตี้  วิเคราะห์เทรนด์ตลาดอสังหาฯ ปี 2563 จับตา 6 ปัจจัย ขับเคลื่อนธุรกิจ ประกอบไปด้วย 1. เทคโนโลยีเชื่อมต่อการอยู่อาศัย 2. โครงการที่อยู่อาศัยกลุ่ม เรียลดีมานด์ยังโตได้ 3. มิกซ์ยูสบุกตลาด 4. การร่วมมือข้ามแบรนด์ 5. โครงการใส่ใจสิ่งแวดล้อม และ 6. Leasehold มีบทบาทมากขึ้น ขณะที่ผลสำรวจความน่าเชื่อถือของบริษัทอสังหาฯ อันดับ 1 ยังเป็นเรื่องคุณภาพงานก่อสร้าง ตามด้วยการเลือกใช้วัสดุมีคุณภาพ

          นางสาวสุวรรณี มหณรงค์ชัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนากลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2563 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกปีหนึ่งของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้าท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว จากปัจจัยหลายอย่างซึ่งหนึ่งในนั้นคือกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมา เนื่องจากหนี้ครัวเรือนของไทยทรงตัวอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์นั้น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะหันมาให้ความสนใจกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดจากกลุ่ม Real Demand โดยพลัส พลัสพร็อพเพอร์ตี้ ทำการวิเคราะห์เทรนด์ที่จะเข้ามามีบทบาทต่อที่อยู่อาศัยในปี 2563 ซึ่งพบ 6 ปัจจัยหลักที่มาแรง และมีความน่าสนใจ ดังนี้

          1.เทคโนโลยีเชื่อมต่อการอยู่อาศัย โครงการต่างๆ นับจากนี้ไปจะผสมผสานเทคโนโลยีเข้าไปอย่างกลมกลืน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อ การเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านให้รวมอยู่ในสมาร์ทโฟนจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่จะเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงกันอย่างแพร่หลาย ดังที่เราจะเห็นว่าองค์การขนาดใหญ่เริ่มตื่นตัวและทำการทรานสฟอร์มองค์กรไปสู่ดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์รองรับ AI และ IoT ซึ่งภาคอสังหาริมทรัพย์เองก็เริ่มเปิดโครงการนำร่องที่มีการเชื่อมต่ออุปกรณ์สามาร์ทโฮมเข้ากับ AI และ IoT

          2.โครงการที่อยู่อาศัยกลุ่มเรียลดีมานด์ยังโตได้ หากพิจารณาจากปี 2562 โครงการแนวราบเริ่มมามีบทบาทเพราะเป็นโครงการที่ตอบโจทย์เรียลดีมานด์ แต่ในปีหน้า (2563) คาดว่าโครงการแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียม หากเป็นโครงการที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่แท้จริง ก็จะยังได้รับความนิยม เพราะได้รับแรงส่งจากการขยายการเปิดใช้รถไฟฟ้า ที่เริ่มเปิดให้บริการส่วนต่อขยายหลายเส้นทาง ทั้งสายสีเขียว และสายสีน้ำเงิน และในปี 2563 ก็จะมีสายสีทอง รวมถึงสายสีชมพูและสายสีเหลืองที่มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2564 ซึ่งทำให้ทำเลตามแนวรถไฟฟ้าเหล่านี้ถูกจับจองด้วยโครงการคอนโดมิเนียมในระดับราคาต่ำกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตร หรือต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนรวมกัน 70% ของโครงการใหม่ทั้งหมด พบว่าส่วนใหญ่ถูกพัฒนาบนพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก ได้แก่ สุขุมวิทรอบนอก แจ้งวัฒนะ มีนบุรี รามอินทรา และพื้นที่รัชดา-ลาดพร้าว

          3.มิกซ์ยูสบุกตลาด เนื่องจากเป็นอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบผสมผสาน ที่ประกอบไปด้วยสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม และที่อยู่อาศัย ซึ่งเหมาะกับเมืองหลวงที่มีที่ดินในเขตใจกลางเมืองที่จำกัดอย่างเช่นกรุงเทพมหานคร โดยจากการสำรวจของพลัสฯ พบว่า โครงการส่วนใหญ่จะทยอยเปิดให้บริการระหว่างปี 2561-2569 ซึ่งเมื่อโครงการสร้างเสร็จเปิดให้บริการจะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในเรื่องคุณภาพชีวิตคนที่ทำงานในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากมิกซ์ยูสมีจุดเด่นในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกที่โครงการได้จัดไว้ให้บริการอย่างครบครัน

          4.การร่วมมือกันของแบรนด์ต่างๆ ซึ่งการร่วมมือข้ามแบรนด์นี้จะไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็น Joint Venture ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่จะมีการดึงแบรนด์ด้านไลฟ์สไตล์ต่างๆ เข้ามาเปิดบริการร่วมกัน เช่น โครงการคอนโดมิเนียมที่มีการร่วมมือกับค่ายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสำหรับให้ลูกบ้านในโครงการเช่าใช้ร่วมกัน หรือการร่วมกับร้านสะดวกซื้อที่เข้ามาให้บริการแบบเดลิเวอรีให้กับลูกค้าในโครงการ เป็นต้น

          5.โครงการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ปี 2563 เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เริ่มจากการเปิดศักราชด้วยการงดแจกถุงพลาสติกสำหรับห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เกต และร้านสะดวกซื้อ สร้างการ รับรู้และการปรับตัวของผู้ซื้อครั้งใหญ่ ในภาคอสังหาริมทรัพย์เองก็เริ่มมีการเปลี่ยนไปสู่การตั้ง เป้าหมายในการเป็นโครงการสีเขียวมากขึ้น

          6.Leasehold จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการมีจำกัดมากขึ้น ประกอบกับ เทรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่นิยมอยู่แบบเป็นโสดมากขึ้น และโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เริ่มทำ ให้คนไทยเปิดใจรับโครงการแบบ Leasehold มากขึ้นกว่าเดิม เพราะเป็นโครงการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ที่ ไม่ต้องการมีทายาท ทำให้ผู้ซื้อเข้าถึงโครงการคอนโดมิเนียมที่ต้องการในราคาถูกว่าโครงการแบบ Freehold

          นอกจากการพัฒนาโครงการให้สอดรับไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยในยุคปัจจุบันมากขึ้น แต่จากการสำรวจ ของพลัสฯ พบว่าความเป็นมืออาชีพของบริษัทอสังหาริมทรัพย์เองก็มีความสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อของ ผู้บริโภคเช่นกัน โดยผู้ซื้อจะวัดความน่าเชื่อถือของบริษัทโดยให้ความสำคัญกับ 5 อันดับ ได้แก่ 1.คุณภาพ งานก่อสร้างดี 2.การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพเหมาะสมกับราคา 3.ส่งมอบบ้านตรงตามเวลาและตามคุณภาพ ที่ตกลงไว้ 4.ให้ข้อมูลที่เป็นจริงไม่โฆษณาเกินจริง และ 5.มีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ กับสินค้าและบริการ
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ