แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เผยแผนปี63 ถอยลงทุนคอนโดโฟกัสแนวราบ
Loading

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เผยแผนปี63 ถอยลงทุนคอนโดโฟกัสแนวราบ

วันที่ : 16 มกราคม 2563
"แลนด์แอนด์เฮ้าส์" เผยพิษเศรษฐกิจ ฉุดยอดพรีเซลปี62 พลาดเป้าจาก 3.3 หมื่นล้านบาท เหลือ 2.5 หมื่นล้านบาท ประเมินภาพรวม อสังหาฯปี63 ไร้ปัจจัยบวก ดีสุดแค่ ทรงตัว เบรคลงทุนคอนโด ลุยแนวราบ16 โครงการ มูลค่ากว่า 2.8 หมื่นล้าน
          ประเมินภาพรวมอสังหาฯ "ไร้ปัจจัยบวก" ทำได้ดีสุดแค่ "ทรงตัว"

        "แลนด์แอนด์เฮ้าส์" เผยพิษเศรษฐกิจ ฉุดยอดพรีเซลปี62 พลาดเป้าจาก 3.3 หมื่นล้านบาท เหลือ 2.5 หมื่นล้านบาท ประเมินภาพรวม อสังหาฯปี63  ไร้ปัจจัยบวก ดีสุดแค่ ทรงตัว เบรคลงทุนคอนโด ลุยแนวราบ16 โครงการ มูลค่ากว่า 2.8 หมื่นล้าน หันโฟกัสตลาดบ้านแฝด เน้นโซนบางนา ราคา 4-6 ล้านบาท

          นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  สถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2562 ที่ชะลอตัว กระทบภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งพบว่าที่อยู่อาศัยจดทะเบียนเพิ่มตั้งแต่ เดือน ม.ค.-ต.ค.2562 มีจำนวนลดลง 22% หรือ 73,031 ยูนิตเทียบช่วงเวลาเดียวกัน ปีก่อนมีจำนวน 93,636 ยูนิต ประเภท บ้านเดี่ยวลดลง 2.7% บ้านแฝดเพิ่มขึ้น 14.2% ทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 4.9% คอนโดลดลง 29.8%

          ทำให้ยอดขาย Presale ของบริษัท ไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 33,000 ล้านบาท ทำได้เพียง 25,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 30,535 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นแนวราบ

          อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดอสังหาฯจะค่อยๆมีทิศทางดีขึ้น ซึ่งต้องอาศัย ระยะเวลา โดยเฉพาะคอนโด จะเป็นตลาดที่ใช้เวลานานกว่าบ้านแนวราบ เนื่องจาก ได้รับผลกระทบมากสุด มีสต็อกคงค้างจำนวนมากในหลายพื้นที่คาดว่าจะ ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปีจากนี้จึงจะ ฟื้นตัว

          ประธานกรรมการฯ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังประเมินแนวโน้มตลาดอสังหาฯในปี 2563 ว่า ดีที่สุดแค่ทรงตัว เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกอะไรเข้ามาสนับสนุน ทำให้บริษัทมีแผนเปิดขายโครงการใหม่รวม 16 โครงการ (เท่ากับปี 2562) มูลค่า โครงการรวม 28,440 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 13 โครงการ

          โครงการต่างจังหวัด จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย ในจังหวัดอยุธยา, จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดภูเก็ต ประกอบด้วย โครงการประเภทบ้านเดี่ยว จำนวน 11 โครงการ, โครงการประเภทบ้านแฝด จำนวน 3 โครงการ ซึ่งเป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะเริ่มได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้ลูกค้ามากขึ้นโดยเฉพาะโซนบางนา ที่มีศักยภาพในการขยายตัว ระดับราคา 4-6 ล้านบาท และโครงการประเภททาวน์เฮ้าส์ จำนวน 3 โครงการ

          "ปี 2563 บริษัทยังชะลอการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมเนื่องจากเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด อย่างไรก็ตามหากมีที่ดินหรือมีโอกาสในการลงทุนบริษัทก็พร้อมที่จะลงทุนพัฒนา ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 78 โครงการ เป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล 50 โครงการ และต่างจังหวัด 28 โครงการ และมีคอนโดรอขายมูลค่า 10,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นคอนโดสร้างเสร็จมูลค่า 4,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 6,000 ล้านบาท"

          นายนพร ยังกล่าวว่า ในปีนี้บริษัท ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 7,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการแนวราบทั้งหมด ซึ่งทำเลจะขึ้นอยู่กับการยอมรับรู้ ผู้บริโภค เนื่องจากปัจจุบันโครงสร้าง พื้นฐานในด้านการคมนาคมได้ขยายตัวไปในวงกว้างมาก ทำให้ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องย้ายถิ่นฐานใหม่ ส่วนงบลงทุนที่เหลืออีก 4,000 ล้านบาท จะใช้ลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า ภายในประเทศไทย ประมาณ 3-5 โครงการ โดยจะใช้ลงทุนในโครงการต่อเนื่องราว 2,000 ล้านบาท หรือประมาณ 50%

          นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะขาย อพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริกา จำนวน 1 แห่ง ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีโครงการอพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริการวม จำนวน 4 แห่ง มีห้องพักรวม 800 ห้อง มูลค่าการลงทุนรวม 450 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน บริษัท อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเข้าลงทุนในโครงการประเภทอพาร์ตเมนต์ในสหรัฐเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

          โดยในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย  (Presale) ไว้ที่ 28,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ประมาณ 7-8% จากปีก่อน แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 24,000-25,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 82% (บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 73% ทาวน์เฮ้าส์ 9%) และยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18% โดยสัดส่วนยอดขายจะมาจากเขต กรุงเทพฯและปริมณฑล ประมาณ 89% และต่างจังหวัด 11%

          คาดว่าตลาดอสังหาฯจะค่อยๆดีขึ้น แต่ต้องอาศัยเวลา โดยเฉพาะคอนโดเนื่องจากเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบมากสุด มีสต็อกคงค้างในตลาดจำนวนมาก  คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปีจากนี้จึงจะฟื้นตัว
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ