ทีมข่าวอสังหาริมทรัพย์โพสต์ทูเดย์

เปิดที่ริมเจ้าพระยา ทำเลทองท่องเที่ยวดูดกำลังซื้อไทย-เทศ

ในยุคที่การคมนาคมทางเรือเป็นหลัก การก่อสร้างชุมชนย่านการค้าและที่พักอาศัยของคนไทยส่วนใหญ่จะอยู่ใกล้แม่น้ำหรือลำคลองเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ต่อมาเมื่อรถยนต์มีบทบาทเป็นพาหนะหลักในการเดินทางและขนส่งชุมชนด้านการค้าและที่พักอาศัยก็เคลื่อนตัวมาอยู่ใกล้ถนน จนถึงปัจจุบันชุมชนย่านการค้าและที่พักอาศัยมีการเคลื่อนตัวมาอยู่ใกล้แนวสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งกลายเป็นพาหนะหลักของคนกรุงยุคใหม่

แม้ว่าการคมนาคมทางเรือไม่ได้เป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมของคนกรุงในปัจจุบัน แต่การคมนาคมทางเรือกลายเป็นทางเลือกในการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดของคนกรุง นอกจากนั้นทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาแม่น้ำสาย หลักของคนกรุงสายนี้ยังมีมนต์เสน่ห์ทางวัฒนธรรมผสมผสานที่ทำให้คนไทยและนักท่องเที่ยวหลงใหล

ที่ดินริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามีศักยภาพในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น เมื่อโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคภาครัฐเข้ามาส่งเสริมเริ่มจากการสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 4 จุด ได้แก่ สถานที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 2 สถานี คือ สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสิน และรถไฟฟ้าสายสีม่วงเอ็มอาร์ที บริเวณสะพานพระนั่งเกล้า ส่วนอีก 2 สถานีที่กำลังก่อสร้าง ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเอ็มอาร์ที สถานีบางโพ และสถานีอิสรภาพ ที่เจาะอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นแห่งแรกของประเทศไทย

ในอนาคตยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า สายสีทอง (สถานีกรุงธนบุรี-สถานีประชาธิปก) ระยะทางรวม 2.7 กม. มี 5 สถานี ทั้งหมดอยู่ในฝั่งธนบุรี โดยแนวเส้นทางจะเชื่อมกับรถไฟฟ้า บีทีเอสที่สถานีกรุงธนบุรี กับรถไฟฟ้าสายสีม่วง เอ็มอาร์ที (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) ที่สถานีประชาธิปก และรถไฟฟ้าสายสีแดง (หัวลำโพง-มหาชัย) ที่สถานีคลองสาน

จากเหตุผลดังกล่าวทำให้ทำเลที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา กลายเป็นทำเลที่ดินที่มีศักยภาพในการลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ และ มีศักยภาพในการทำตลาดขยายฐานลูกค้ากลุ่มเป้าหมายทั้งชาวไทยและต่างชาติ จึงได้เห็นการเปิดตัวโครงการอสังหาฯ ขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในรูปแบบมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วยศูนย์การค้า อาคารสำนักงานโรงแรม 5-6 ดาว ศูนย์การประชุม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และอาคารชุดกันมากขึ้น

จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในรัศมี 500 เมตรจากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยพบว่าในช่วงครึ่งปีแรกปี 2559 ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ มีจำนวนรวม 24 โครงการ ซึ่งนับเฉพาะโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย ซึ่งมียูนิตเหลือขายตั้งแต่ 6 ยูนิตขึ้นไป มียูนิตในผังโครงการรวม 15,453 ยูนิต ในจำนวนนี้เป็นยูนิตที่ขายไปแล้ว 11,598 ยูนิต คิดเป็น 75% ของยูนิตในผังโครงการ และมียูนิตเหลือขายซึ่งจะเป็นอุปทานพร้อมขายในตลาดช่วงครึ่งปีหลังปี 2559 จำนวน 3,855 ยูนิต หรือคิดเป็น 25% ของยูนิตในผังโครงการ

ในจำนวน 24 โครงการนี้ เป็นโครงการที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ 18 โครงการ มียูนิตในผังโครงการรวม 8,625 ยูนิต ใน จ.นนทบุรี 5 โครงการ มียูนิตในผังโครงการรวม 6,758 ยูนิต และ จ.สมุทรปราการ 1 โครงการ มีจำนวนยูนิตในผังโครงการ 70 ยูนิต

โครงการอาคารชุดที่อยู่ระหว่างการขายริมแม่น้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันพบว่าโครงการเดอะเรสซิเด้นท์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโครงการซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่คอนโดมิเนียม ในโครงการไอคอนสยาม เขตคลองสาน กรุงเทพฯ เป็นโครงการที่มีราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรสูงถึง 4.5 แสนบาท และโครงการเดอะ พอร์ท สุขสวัสดิ์  ตั้งอยู่ที่ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ เป็นโครงการที่มีราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำสุดอยู่ที่ 4.1 หมื่นบาท

พื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง เมื่อรัฐบาลมีนโยบายพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้มีทางเดินเท้าริมฝั่งแม่น้ำเพื่อคืนพื้นที่สาธารณะริมแม่น้ำให้กับประชาชน ยิ่งทำให้ที่ดินริมแม่น้ำเป็นทำเลศักยภาพสำหรับผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น

นอกจากนี้ หน่วยงานภาครัฐมีแผนจะทยอยนำที่ดินออกมาจัดสัมปทานเพื่อหาประโยชน์มากขึ้น อาทิ ที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสาม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซอยเจริญกรุง 36 เขตบางรัก เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ ที่ดินราชพัสดุเนื้อที่ 20 ไร่ ตรงข้ามกับเอเชียทีค ขององค์การอุตสาหกรรม ป่าไม้ ที่ดินถนนเจริญกรุง บริเวณอู่ต่อเรือกรุงเทพ 20 ไร่ ที่ดินองค์การสะพานปลา พื้นที่ 8 ไร่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีที่ดินแปลงใหญ่กว่า 200 ไร่ บริเวณสถานีแม่น้ำจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในกลางปี 2560 ซึ่งจะทำให้ตลาด อสังหาฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยามีการแข่งขันที่หลากหลายและคึกคักมากยิ่งขึ้น

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์