ซีแพนเนล เจาะลูกค้ารับเหมาโชว์แบ็กล็อก320ล.ตั้งเป้าโต30%
Loading

ซีแพนเนล เจาะลูกค้ารับเหมาโชว์แบ็กล็อก320ล.ตั้งเป้าโต30%

วันที่ : 5 กุมภาพันธ์ 2560
ซีแพนเนล เจาะลูกค้ารับเหมาโชว์แบ็กล็อก320ล.ตั้งเป้าโต30%

ซีแพนเนล เดินหน้าเจาะลูกค้ากลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และงานภาครัฐ ตั้งเป้าปีนี้โต 30% เผยตลาดอสังหาฯระดับกลาง-บนยังขยายตัว ใช้ผนังสำเร็จรูปก่อสร้างเพื่อลดต้นทุน บริหารความเสี่ยงมากขึ้น

 

นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผนังคอนกรีตสำเร็จรูป เปิดเผยว่า กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปีนี้ของซีแพนเนล ยังคงรักษาฐานลูกค้าเดิมและเดินหน้าทำตลาดแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้ารายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นที่กลุ่มผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูง และยังมีความสนใจขยายฐานลูกค้าในกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนโครงการก่อสร้างต่างๆของภาครัฐ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอสัญญาจากโครงการภาครัฐ 3 ราย ด้านงานผู้รับเหมานั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 4 ราย

 

นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้รับเหมาจากประเทศมาเลเซียอีก 2 ราย "ผู้รับเหมาทั้งในและต่างประเทศหันมาให้ความสนใจเทคโนโลยีการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก สาเหตุมาจากความต้องการลดจำนวนคนหน้าไซต์งาน การส่งมอบงานที่ต้องรวดเร็วขึ้น ปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้รับเหมาหันมาใช้ผนังสำเร็จรูปกันเป็นจำนวนมาก"

 

ประการสำคัญจากกรณีที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับกลาง-บนมีสัญญาณที่ดี อีกทั้งภาครัฐมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจและขับเคลื่อนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ ส่งผลให้มีตลาดผนังสำเร็จรูปในปีนี้ยังสามารถขยายตัวได้ ปัจจัยมาจากผู้ประกอบการด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่มีแนวโน้มที่จะใช้ผนังสำเร็จรูปแทนการก่อสร้างรูปแบบเดิม เนื่องจากเป็นวัสดุที่ใช้งานง่าย มีความแข็งแรง ลดต้นทุนแรงงาน ตอบโจทย์การบริหารจัดการระยะเวลาการทำงาน และช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี จากความต้องการดังกล่าวทำให้เชื่อว่า เมื่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับสู่ภาวะปกติความต้องการใช้งานผนังคอนกรีตสำเร็จรูปจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างทันทีด้วยเช่นกัน

 

ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ 320 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2561 ขณะที่กำลังการผลิตผนังคอนกรีตสำเร็จรูปของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 60-65% และตั้งเป้าอัตราการเติบโตปีนี้อยู่ที่ 30% หรือมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 370 ล้านบาท

ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ