ชง คลัง ขอบริหารกองทุนอีอีซี
Loading

ชง คลัง ขอบริหารกองทุนอีอีซี

วันที่ : 29 มกราคม 2562
"สกพอ."เร่งตั้งกองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พัฒนา ชุมชนใน 3 จังหวัด ดูแลชุมชน 11 ด้าน หารือกระทรวงการคลังให้ กพอ.บริหารจัดการกองทุนฯ เพื่อความคล่องตัว พร้อมเร่งผลิต บุคลากรรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย คาดภายในปี 2573 ต้องการแรงงานเพิ่มกว่า 1 ล้านคน
          "สกพอ."เร่งตั้งกองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พัฒนา ชุมชนใน 3 จังหวัด ดูแลชุมชน 11 ด้าน หารือกระทรวงการคลังให้ กพอ.บริหารจัดการกองทุนฯ เพื่อความคล่องตัว พร้อมเร่งผลิต บุคลากรรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย คาดภายในปี 2573 ต้องการแรงงานเพิ่มกว่า 1 ล้านคน 

          นายณัฐวุฒิ พงศ์สิริ รองเลขาธิการ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) สายงานเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดตั้ง กองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ว่า คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ (กอพ.) ได้เร่งตั้งกองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อเป็นกองทุนอีอีซี สนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ ชุมชน และประชาชนที่อยู่ภายใน หรือที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาอีอีซี ใน 3 จังหวัดได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา

          ทั้งนี้ ในขั้นต้นกองทุนฯ จะขอรับเงินสนับสนุนจากภาครัฐ 1,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา ได้รับการจัดสรรงบประมาณในเบื้องต้นแล้ว 100 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการขออนุมัติงบกลางประจำปี 2562 อีก 900 ล้านบาท

          สำหรับ กองทุนฯ จะนำมาใช้จ่ายเพื่อให้ ตรงกับวัตถุประสงค์ของกองทุน 11 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิต สุขภาพ และ สุขภาวะ 2.ด้านการพัฒนาอาชีพ 3.ด้านการ พัฒนาการเกษตร 4.ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน 5.ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต 6.ด้านการ พัฒนาการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีท้องถิ่น

          7.ด้านการพัฒนาชุมชน 8.ด้านการอนุรักษ์ และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม 9.ด้านการใช้จ่ายกรณีฉุกเฉิน และช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากเดือดร้อน 10.ด้านการพัฒนาศักยภาพของผู้ที่เกี่ยวข้องกับกองทุน 11.โครงการและแผนงานอื่นๆ ที่มี ประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชน

          สำหรับ รายได้ของกองทุนฯ ประกอบด้วย  1.เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้ 2.เงินบำรุง ที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษและ กิจการที่เกี่ยวเนื่องในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ต้องส่งเงินบำรุงกองทุนตามอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่สำนักงานประกาศกำหนด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการนโยบาย

          3.เงินสมทบจากรายได้ของสำนักงาน หรือ ผลประโยชน์อันได้มาจากการลงทุน การประกอบกิจการ หรือการดำเนินงานตามหน้าที่ และอำนาจของ สกพอ. 4.เงินหรือทรัพย์สินที่มี ผู้บริจาคให้

          5.เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ตกเป็นของกองทุน และ 6.ดอกผลหรือผลประโยชน์ที่เกิดจากเงิน หรือทรัพย์สินของกองทุน โดยเงินและทรัพย์สินที่เป็นของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลัง เป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วย เงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ

          ห่วงกองทุนขาดความคล่องตัว

          นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า การจัดตั้งกองทุนอีอีซี ยังติดปัญหาในเรื่องของข้อกฎหมาย ซึ่ง พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ไม่ได้กำหนดชัดเจนในส่วนของอำนาจการบริหารกองทุน โดยทำให้กองทุนอีอีซี จะต้องอยู่ในการดูแล ของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ของกระทรวงการคลัง ซึ่งจะ ทำให้การดำเนินการจัดการกองทุนฯขาดความ คล่องตัว ดังนั้นจึงได้เข้าไปหารือกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เพื่อหาทางออกในปัญหานี้  โดยในขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือว่ากองทุนนี้จะต้องออกเป็นกฎหมายหรือไม่ มีตัวอย่างคือกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่ รอบโรงไฟฟ้า ที่อยู่ภายใต้พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน หรือออกเป็นระเบียบของสำนักงานนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาค ตะวันออก ภายใต้การกำกับดูแลของ คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งจะทำให้การเบิกจ่ายเงินกองทุนมีความคล่องตัว คาดว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้

          "หากกองทุนอีอีซีอยู่ภายใต้คณะกรรมการ นโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน จะทำให้การดำเนินการยากลำบากขาดความคล่องตัว เพราะกองทุนนี้จะต้องเบิกจ่ายได้รวดเร็วตามความต้องการของชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ หากรอให้คณะกรรมการนโยบายการบริหารกองทุนหมุนเวียนพิจารณา จะใช้เวลานานมาก ไม่ทันต่อความต้องการของชุมชน"

          อีอีซีต้องการแรงงาน1ล้านคน

          นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วนก็คือการสร้างบุคลากรรองรับการขยายตัวของ อีอีซี โดยจากการประเมินพบว่าในขณะนี้จนถึงปี 2573 ในพื้นที่ อีอีซี ต้องการบุคลากรใน10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ประมาณ 1.09 ล้านคน แบ่งเป็น อุตสาหกรรมดิจิทัล 2.8 แสนคน อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 9.6 หมื่นคน ด้านโลจิสติกส์ 9.05 หมื่นคน อุตสาหกรรมการบินและชิ้นส่วน 5.8 หมื่นคน อุตสาหกรรมการแพทย์และบริการสุขภาพ 9.5 หมื่นคน อุตสาหกรรมชีวภาพ 1.5 หมื่นคน อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 5.5 หมื่นคน อุตสาหกรรมอาหาร 4.5 หมื่นคน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 5.6 หมื่นคน และอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 3 แสนคน

          ทั้งนี้ในการสร้างบุคลากร อีอีซี ได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลิตบุคลากรด้านอาชีวะศึกษาให้ได้ 115,626 คน ภายในปี 2565 โดยได้ให้ มหาวิทยาลัยบูรพาเป็นศูนย์กลางในการดูแล พัฒนาบุคลากรด้านอาชีวะ ร่วมกับภาคเอกชน และรัฐบาล ซึ่งหนึ่งในโครงการที่สำคัญ ก็คือ โครงการ "สัตหีบโมเดล" ซึ่งวิทยาลัยเทคนิคสัตหีบ ได้พิสูจน์มาแล้วเป็นแนวทางผลิตบุคลากรอาชีวะได้ประสบความสำเร็จ ซึ่งได้มีวิทยาลัยอาชีวะเข้าร่วมรวมทั้งสิ้น 12 แห่ง มีเป้าหมาย ที่จะผลิตบุคลากรให้ได้ 6 หมื่นคนต่อปี รวมทั้งยังได้ร่วมมือกับ บริษัท เพียร์สัน จาก อังกฤษ เพื่อร่วมกันพัฒนาหลักสูตรอาชีวะสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรในการรองรับการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ให้ได้มาตรฐานสากล

          พัฒนาบุคลากรชั้นสูง4สาขา

          ส่วนการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยชั้นสูง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบังได้ร่วมกับมหาวิทยาลัย คาร์เนกีเมลลอน จากสหรัฐ ตั้งมหาวิทยาลัย ซีเอ็มเคแอล เพื่อส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร และงานวิจัยพัฒนาในมาตรฐานโลก บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ตั้งมหาวิทยาลัยอมตะ เปิดหลักสูตรวิศวกรรมการผลิตอัจฉริยะ และสถาบัน วิทยสิริเมธี หรือวิสเทค เพื่อผลิตบุคลากรด้านเทคโนโลยีป้อนให้กับอุตสาหกรรมชั้นสูง ใน อีอีซี โดยมีอยู่ 4 สาขา ได้แก่ สาขาวิชาวัสดุศาสตร์ และวิศวกรรมวัสดุ สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชีวโมเลกุล และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งนักวิจัยเหล่านี้ สามารถต่อยอดสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เชิงพาณิชย์ได้อีกมากในอนาคต

          "แนวทางการผลิตบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ในพื้นที่ อีอีซี ทำให้มั่นใจว่าจะผลิต บุคลากรรองรับอุตสาหกรรมชั้นสูงที่จะเข้ามา ลงทุนในอนาคต และยังเป็นการสร้างฐานความรู้ ให้กับประเทศไทย เพื่อยกระดับการผลิตไทย ไปสู่อุตสาหกรรมชั้นสูง"
 
ข่าวเขตเศรษฐกิจพิเศษ อื่นๆ