แอลพีเอ็นฝ่าปัจจัยลบ
Loading

แอลพีเอ็นฝ่าปัจจัยลบ

วันที่ : 22 กุมภาพันธ์ 2562
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 นั้น ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ตั้งแต่มาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2562 ที่ทำ ให้ผู้ประกอบการมีช่วงเวลาในการทำตลาดเพียงแค่ไตรมาสแรกของปี และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ตลาดถึงจะมีความชัดเจน
          แอลพีเอ็นประเมินตลาดอสังหาฯ ปี 2562 เหนื่อย ช่วงเวลาทำการตลาดมีแค่ 6 เดือน แต่ต้องเร่งทำยอดขายให้เท่ากับทั้งปี

          นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 นั้น ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ตั้งแต่มาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2562 ที่ทำ ให้ผู้ประกอบการมีช่วงเวลาในการทำตลาดเพียงแค่ไตรมาสแรกของปี และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ตลาดถึงจะมีความชัดเจน

          "ตลาดอสังหาฯ ในปีนี้มีช่วงเวลาการทำตลาดค่อนข้างน้อย คือก่อนมาตรการแอลทีวีของแบงก์ชาติบังคับใช้ เนื่องจากช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 เป็นช่วงที่ตลาดรอดูท่าทีและผลกระทบที่เกิดจาก การบังคับใช้แอลทีวี รวมทั้งท่าทีหลัง การเลือกตั้งที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และคาดว่าตลาดจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ของปี ซึ่งก่อนหน้านี้ตลาดคอนโดส่งสัญญาณไม่ค่อยดีมา 2-3 ปี โดยเราต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด" นายโอภาส กล่าว

          สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมสถานการณ์มีความเสี่ยงที่จะซ้ำรอยกับต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 เนื่องจากมีปัจจัยลบให้เห็นมากขึ้น รวมไปถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับ จีน ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนยังสูง ขณะที่โครงการลุมพินี สวีท มักกะสัน ที่บริษัทได้นำยูนิตบางส่วนเพื่อขายให้กับลูกค้าชาวจีน คิดเป็นมูลค่า 1,400 ล้านบาท โดยเริ่มทยอยโอนตั้งแต่เดือน ต.ค. 2561 ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมามีลูกค้าชาวจีนโอนแล้วคิดเป็นมูลค่า 400 ล้านบาท ซึ่งจะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดเนื่องจากการโอนยังมีสัดส่วนค่อนข้างช้า เนื่องจากคนจีนเริ่มมีการขายดาวน์ต่อกับกลุ่มลูกค้าชาวจีนด้วยกัน ขณะนี้ยังไม่มีลูกค้าชาวจีนรายใดทิ้งเงินดาวน์ แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนักจากกลุ่มลูกค้าชาวจีน จึงทำให้นับจากนี้ไปบริษัทได้หยุดทำการตลาดกับลูกค้าจีน

          ปัจจุบันบริษัทมีสต๊อกคอนโดมิเนียมพร้อมขาย 19 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท จำนวน 6,000 ยูนิต คาดว่าจะสร้างรายได้ในปีนี้ 50% โดยมีรายได้หลักมาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ 90% อีก 10% มาจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ เช่น ธุรกิจเช่าที่สร้างรายได้สม่ำเสมอ ซึ่งขณะนี้มีแผนร่วมทุนกับบริษัท นายณ์ เอสเตท พัฒนาอาคารสำนักงานให้เช่าย่านพระราม 4

          นายโอภาส กล่าวอีกว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้บริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 18-20 โครงการ มูลค่าโครงการ 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 4 โครงการใหม่ อีก 4 โครงการขยายให้เฟส 2 ของโครงการเดิม และโครงการบ้าน 365 จำนวน 2 โครงการที่จับตลาดระดับบน 8 โครงการ คอนโดมิเนียม โดยโครงการที่พัฒนาส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นหลัก ส่วนในต่างจังหวัดยังไม่มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ เนื่องจากกำลังซื้อต่างจังหวัดยังไม่ฟื้นตัว
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ