นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโคป จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีพันธมิตรทางด้านบริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 90% เปิดเผยเป็นครั้งแรกในการดำเนินธุรกิจว่า ต้องการบุกเบิกกลุ่มลูกค้าใหม่ในตลาดอสังหาฯเพื่อการอยู่อาศัยของประเทศไทยที่มีการแข่งขันกันอย่างสูง โดย สโคป จะมุ่งทำตลาดในกลุ่ม "อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมี่ยม"ที่จะไม่มีกรอบในเรื่องของราคา จะฉีกแบบแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยแบบเดิมที่เคยมีมา ด้วยการมุ่งเน้นเรื่องการออกแบบและก่อสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพพรีเมียมมาตรฐานระดับโลกโดยเฉพาะ

          ทั้งนี้ จากการศึกษาเราพบว่า ตลาดภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมระดับบนทำเลกรุงเทพฯ ในปี 2562 คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 78,500 ล้านบาท จำนวน 5,871 ยูนิต ซึ่งเป็นกลุ่มคอนโดฯหรูระดับราคา 2 แสนบาทต่อตร.ม.ขึ้นไป และคาดว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ราคาคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพสูงสุดในทำเลที่ดีที่สุดในเขตกรุงเทพฯ จะมีการปรับตัวเพิ่มสูงถึง 800,000 บาทต่อตารางเมตร(ตร.ม.)

          ขณะที่ความต้องการคอนโดมิเนียมมาตรฐาน 'อินเตอร์เนชั่นแนล พรีเมียม' ประมาณ 6,500 ยูนิตต่อปี มีมูลค่ารวม 90,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่า ลูกค้าสโคปจะเป็นคนไทยรุ่นใหม่ผู้มีฐานะและรสนิยมที่เป็นอินเตอร์เนชั่นแนลประมาณ 80% และเป็นชาวต่างชาติที่มองหาที่พักอาศัยคุณภาพระดับอินเตอร์เนชั่นแนลที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯประมาณ 20% โดยคาดว่ากลุ่มลูกค้าระดับต่ำกว่า 2 แสนบาท ก็จะหันมามองหาสินค้าของสโคป

          อย่างไรก็ตามในปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการแรกในทำเลหลังสวน ภายในเดือนมิ.ย.ปีนี้ บนเนื้อที่ 2 ไร่ ซึ่งเป็นแปลงที่บริษัทเอสซีฯเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ที่ซื้อมาในราคาประมาณ 3 ล้านบาทต่อตารางวา (ตร.วา) โดยโครงการนี้ จะเป็นโครงการแรกที่สโคปจะดำเนินการ มูลค่าโครงการอยู่ที่ 7,800 ล้านบาท จะเปิดตัวในราคา 5 แสนบาทต่อตร.ม.คาดจะมีขนาด 1 และ 2 ห้องนอน ส่วนจำนวนยูนิตและขนาดพื้นที่อยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสม และจะเปิดอีก2 โครงการภายในปี 63 ในทำเลย่านทองหล่อและถนนสุขุมวิท รวมจะมีมูลค่ารวมทั้ง 3 โครงการกว่า 11,200 ล้านบาท รวมถึงตลาดโครงการบ้านเดี่ยว จะอยู่ในแผนที่บริษัทจะเข้าไปรุกตลาด เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าที่ไม่ต้องการเข้ามาอยู่ในโครงการคอนโดฯ เป็นต้น

          "โครงการแปลงหลังสวนคาดว่าจะเปิดในปีนี้ และจะทยอยขายไปเรื่อยๆ คาดจะใช้เวลาในการพัฒนาถึงปี 2565 ทั้งนี้ โครง การที่ออกมาจะเป็นเลิศระดับโลก ทำให้ทุกอย่างต้องมีความพิเศษเฉพาะ ต้องมีการทุ่มงบประมาณในการออกแบบเป็นเท่าตัว ประมาณ 8-9% ของต้นทุนจากปกติประมาณ 3%"