เศรษฐกิจชะลอตัวในจีนและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกไม่สดใสอย่างที่คาดการณ์กำลังสร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลแก่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเอเชีย ทำให้บรรดาผู้ซื้อบ้านส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกชอกช้ำใจอย่างหนัก และเพิ่มกระแสวิตกกังวลให้แพร่สะพัดไปทั่ว จนท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่าย ของผู้บริโภค

          "อีสัน จ้าว" เป็นหนึ่งในผู้ซื้อคอนโดมิเนียม ที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงแบบสายฟ้าแลบ ย้อนหลังไปช่วงครึ่งหลังของ ปี 2561 เขาเซ็นสัญญาเพื่อถือครอง สลากกินแบ่งที่สามารถนำมาแปลงเป็นอพาร์ตเมนต์หลังหนึ่งในเมืองหังโจว ด้วยความหวังว่านี่จะเป็นบ้านหลังแรก ในการเริ่มต้นสร้างครอบครัวของเขา

          และนี่คือหนึ่งในหลายโครงการที่เหล่า นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจีนนำใช้ตาม เมืองใหญ่ๆ ในช่วงปลายปี 2560 เนื่องจากจำนวนผู้ซื้อบ้านมีมากกว่าจำนวนบ้านที่สร้างออกมาขายในช่วง 3 ปีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์อยู่ในช่วงขาขึ้นสุดๆ

          "จ้าว" ซึ่งทำงานที่บริษัทให้บริการทางการเงินทางออนไลน์แห่งหนึ่ง ต้องลุก ตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อมาเข้าคิวยาวเหยียดหน้าธนาคารในท้องถิ่นแห่งหนึ่ง และก่อนจะมายืนต่อคิวยาวแบบนี้เขาและ คนอื่นๆ ที่พอมีเงินซื้อบ้านต้องโอนเงินหลาย หมื่นดอลลาร์ให้บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งจ้าวบอกว่าโอกาส ที่จะถูกสลากกินแบ่งได้เป็นเจ้าของบ้านต่ำมากแค่ 1% เท่านั้น แต่ในเดือนต.ค. ที่ผ่านมา เขาก็ถูกสลากกินแบ่งอพาร์ตเมนต์หลังดังกล่าว

          อย่างไรก็ตามไม่กี่เดือนต่อมา จ้าว ก็ทราบข่าวว่า มีคนมากมายได้ซื้อบ้าน หรือ อพาร์ตเมนต์ในทำเลดีกว่าในราคาที่เอื้อมถึงโดยไม่ต้องซื้อสลากกินแบ่งแบบเขา ซึ่งจ้าวบอกว่า"พอได้ยินข่าวนี้ ผมรู้สึกผิดหวัง นิดหน่อย แต่มานั่งคิดดู ในตอนนั้นผม ก็ทำดีที่สุดแล้ว"

          ประสบการณ์ของจ้าว สะท้อนถึงความผันผวนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีนในยุคที่เป็นภาวะขาลงของธุรกิจที่ดิน และที่อยู่อาศัย ขณะที่สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ประกอบกับเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณว่าไม่ได้สดใสอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์

          สิ่งเหล่านี้ บั่นทอนความเชื่อมั่น บรรดาผู้ซื้อบ้านในจีน ที่ถือเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับ 2 ของโลกโดยตรง และตั้งแต่ปีที่แล้ว บรรดานักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จีนรายใหญ่สุดพร้อมใจกัน ปรับลดราคาอสังหาริมทรัพย์ลงมากถึง 30%  เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์และ นักเศรษฐศาสตร์ฟันธงว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนจะปรับตัวลงอีก 10% ในปีนี้

          การที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ลดความร้อนแรง สร้างความวิตกกังวลแก่บรรดา ผู้กำหนดนโยบายของจีนอย่างมาก เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมา ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็น แรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างงาน สร้าง แรงจูงใจด้านการลงทุนและสร้างกระแสเงินสดให้แก่รัฐบาลท้องถิ่นในเมืองต่างๆ ของจีน อีกทั้งประมาณ 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)มาจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์

          ฮ่องกง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ยังต้องกัดฟันและทำใจยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเมื่อต้องขายบ้าน อพาร์ตเมนต์ หรือที่ดินออกไปโดยไม่มีกำไร เมื่อราคาอสังหาริมทรัพย์ร่วงลงอย่างรวดเร็วหลังจาก พุ่งทะยานเมื่อเดือนก.ค.เมื่อปีที่แล้ว โดยในเดือนพ.ย. ปีที่แล้ว ราคาบ้านร่วงลง 3.5% ถือเป็นการปรับตัวร่วงลงมากที่สุดในเดือนเดียว นับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลกเมื่อปี 2551

          บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงอาจจะดิ่งลงหนักสุด ถึง 15% ในฐานะที่ฮ่องกงเจอปัจจัยลบ 3 ด้าน ในเวลาเดียวกันคือ สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น

          "ดูเหมือนว่าภาวะกระทิงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงที่ดำเนินมานานเกือบ 10 ปีกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว"โจเซฟ ถัง กรรมการบริหารโจนส์ แลง ลาซาล ในฮ่องกง ให้ความเห็น

          การไหลทะลักเข้ามาของกระแสเงินทุน จากจีนแผ่นดินใหญ่เป็นหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ทำให้ราคาที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์ ในฮ่องกงทะยานกว่า 3 เท่าหลังจากปี 2552 จนทางการต้องออกมาตรการชุดเพื่อคุมเข้มและจำกัดการซื้อที่ดิน หรือ อสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะผู้ซื้อจากต่างชาติเพื่อบรรเทาการทะยานขึ้นของราคาแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งมีปัจจัยลบภายนอกคือ สงครามการค้า  อัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงลดความร้อนแรงลง

          "การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ ราคาที่ดิน ถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการตรวจสอบ หรือถ่วงดุล อาจจะบั่นทอนพื้นฐานทางเศรษฐกิจและเพิ่มความเสี่ยงแก่เสถียรภาพเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและปริมาณที่อยู่อาศัยที่มีมากกว่ากำลังซื้อ" เจ้าหน้าที่ทางการสิงคโปร์ ที่กำกับดูแลอสังหาริมทรัพย์ให้ความเห็น

          การแทรกแซงตลาดอสังหาริมทรัพย์ของ รัฐบาลสิงคโปร์ ทำให้ดัชนีราคาบ้านร่วงลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส โดยดัชนีราคาบ้านในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค.ร่วงลง 0.1%

          "ราคาอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 อาจจะ เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ถ้าไม่ใช้มาตรการลดความร้อนแรงของราคาอสังหาฯในเดือนก.ค. ซึ่งการใช้มาตรการดังกล่าว ช่วยให้ราคาที่ดิน ในตลาดสมเหตุสมผล ไม่สูงจนเกินไป แต่รัฐบาลก็มีหน้าที่สร้างความเชื่อมั่นแก่บรรดานักลงทุนต่างชาติด้วยว่า ตลาดอสังหาฯ ในสิงคโปร์ยังเป็นตลาดที่น่าดึงดูดใจ และคุ้มค่าที่จะเข้ามาลงทุนในระยะใกล้" คริสตีน หลี่ ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายวิจัยของคุชแมนแอนด์เวคฟิลด์ ให้ความเห็นทิ้งท้าย

          ประสบการณ์ของจ้าว สะท้อนถึงความผันผวน ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีน ในยุคที่ราคาที่อยู่อาศัยร่วงลงอย่างหนัก