"เอพี" เผยไตรมาสแรก ยอดจองซื้อบ้านแนวราบพุ่ง 40% เชื่อ ผลจากเร่งซื้อ-โอนก่อนมาตรการแบงก์ชาติ มีผลบังคับใช้ 1 เม.ย.นี้ ขณะแนวโน้ม ไตรมาส 2 ส่อซึม เหตุวันหยุดเพียบ พร้อมระบุนักลงทุนญี่ปุ่นสนร่วมทุนอื้อ  หลังผลดำเนินงานบริษัทร่วมทุนกับญี่ปุ่น สดใส

          นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP กล่าวว่า หากดู แนวโน้มการจองบ้านแนวราบ และทาวน์เฮ้าส์ ในช่วงไตรมาสแรก พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยขยายตัวถึง 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

          ส่วนหนึ่งมาจากการเร่งอัดแคมเปญ การทำโปรโมชั่น และการส่งเสริมการขายของโครงการ และสถาบันการเงิน ทำให้ เกิดการเร่งซื้อและเร่งโอนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ก่อนที่มาตรการกำกับสินเชื่อที่อยู่อาศัย ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมีผล  1 เม.ย.นี้  เช่นเดียวกับโครงการแนวสูง หรือคอนโด ที่สต็อกเก่าๆ ที่เหลือจากการออกโครงการในช่วงที่ผ่านมา เหลือสต็อกคงค้างน้อยลง

          สำหรับแนวโน้มยอดการจอง และ ยอดการโอนบ้านในช่วงไตรมาส 2 เชื่อว่า น่าจะค่อนข้างทรงตัว และปรับตัวลดลง หากเทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่า เป็นผลจากมาตรการของธปท.ที่เริ่ม มีผลบังคับใช้ ประกอบกับ ช่วงเดือน เม.ย.เป็นช่วงวันหยุดยาวหลายช่วง ทั้ง วันสงกรานต์ และเหตุการณ์สำคัญๆ ในเดือนนี้ ดังนั้นอาจทำให้ยอดการจองซบเซาลงได้ และคาดว่ายอดการจอง การโอน จะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ จะเกิดขึ้นในช่วงพ.ค.เป็นต้นไป

          "ตอนนี้เป็นห่วงที่ทุกค่ายเร่งทำโปรโมชั่น การขายให้มาก ก่อนที่มาตรการธปท. จะมีผล ซึ่งตอนนี้หากดูยอดขายพบว่า ทุกโครงการโหมโรงเหมือนกันหมด ดังนั้น ก็คาดว่า ยอดการโอน การจองในไตรมาสแรก ปีนี้น่าจะคึกคัก ก่อนชะลอตัวในเม.ย. และหลังพ.ค.ก็คาดว่า กำลังซื้อใหม่ก็ น่าจะกลับมา ทำให้ทั้งปียังคาดว่า ยอดขายบ้านแนวราบน่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก ปีก่อน ราว 10% ได้" นายอนุพงษ์ กล่าว

          เขายังกล่าวต่อว่า ปัจจุบันต่างชาติ ให้ความสนใจ ในการเข้ามาลงทุนกับบริษัทค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ นักลงทุนญี่ปุ่น เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทได้มีการจับมือกับพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น คือ Mitsubishi Estate เพื่อจัดตั้ง บริษัท พรีเมียม เรสซิเดนท์ จำกัด โดย เอพี ถือหุ้น 51% และพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น ถือหุ้น 49% ซึ่งพบว่าบริษัทดังกล่าว เติบโตต่อเนื่อง จากการขยายการลงทุน ทำให้พาร์ทเนอร์ได้ผลตอบแทน ในระดับสูงต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นรายใหม่ๆ สนใจเข้ามาขอร่วมลงทุน กับบริษัทจำนวนมาก แต่บริษัทยังไม่ได้ มองการลงทุนกับรายใหม่ๆ

          ทั้งนี้ หากดูการเติบโตของบริษัท ร่วมทุน กับพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่นในช่วง ที่ผ่านมา พบว่ามีอัตราการเติบโตสูง ต่อเนื่อง ทำให้คาดว่า นักลงทุนญี่ปุ่น จะใส่เงินเพิ่มทุนเข้ามาในบริษัทดังกล่าว ในปีนี้เพิ่มขึ้นอีก ทำให้ทุนจดทะเบียน บริษัทดังกล่าว เพิ่มขึ้นเป็น 1 หมื่นล้านบาท ปีนี้ จากปัจจุบันที่มีทุนจดทะเบียนอยู่ 9 พันล้านบาท เพื่อนำมาขยายกิจการการลงทุน ขยายโครงการใหม่ ซื้อที่ดินอย่างต่อเนื่อง