ชี้6เทรนด์อสังหาฯแรงเว่อร์ปี'63
Loading

ชี้6เทรนด์อสังหาฯแรงเว่อร์ปี'63

วันที่ : 27 ธันวาคม 2562
'พลัสฯ'เผยปีหน้าตลาดอสังหาฯยังลำบากเหตุกำลังซื้อยังไม่ฟื้น เปิด 6 เทรนด์ขับเคลื่อนตลาดปี 2563 ทั้งเทคโนโลยีเชื่อมต่อการอยู่อาศัย โครงการที่อยู่อาศัยกลุ่มเรียลดีมานด์ยังโตได้ มิกซ์ยูสบุกตลาด การร่วมมือข้ามแบรนด์โครงการใส่ใจ สิ่งแวดล้อม เป็นต้น
        คอนโดแนวรถไฟฟ้าเจาะเรียลดีมานด์ยังไปได้
        ระบุ'คนโสด'ชอบอยู่มิกซ์ยูสเหตุตอบโจทย์
        'พลัสฯ'เผยปีหน้าตลาดอสังหาฯยังลำบากเหตุกำลังซื้อยังไม่ฟื้น เปิด 6 เทรนด์ขับเคลื่อนตลาดปี 2563 ทั้งเทคโนโลยีเชื่อมต่อการอยู่อาศัย โครงการที่อยู่อาศัยกลุ่มเรียลดีมานด์ยังโตได้ มิกซ์ยูสบุกตลาด การร่วมมือข้ามแบรนด์โครงการใส่ใจ สิ่งแวดล้อม เป็นต้น
        นางสาวสุวรรณี มหณรงค์ชัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนากลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2563 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกปีหนึ่งของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้าท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัว จากปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมา เนื่องจากหนี้ครัวเรือนของไทยทรงตัวอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตามในส่วนของอสังหาริมทรัพย์นั้น ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะหันมาให้ความสนใจกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดจากกลุ่มที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริง ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่าเทรนด์ที่จะเข้ามามีบทบาทต่อที่อยู่อาศัยในปี 2563 มี 6 ปัจจัยที่มาแรง และมีความน่าสนใจ
        นางสาวสุวรรณีกล่าวว่า สำหรับเทรนด์ดังกล่าวประกอบด้วย 1.เทคโนโลยีเชื่อมต่อการอยู่อาศัย โดยจะมีการผสมผสานเทคโนโลยีเข้าไปอย่างกลมกลืน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ซื้อ การเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านให้รวมอยู่ในสมาร์ทโฟน เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์สมาร์ท โฮมเข้ากับ AI และ IoT 2.โครงการที่อยู่อาศัยกลุ่มเรียล ดีมานด์ยังโตได้ หากพิจารณาจากปี 2562 โครงการแนวราบเริ่มมามีบทบาทเพราะเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ เรียลดีมานด์ แต่ในปีหน้า (2563) คาดว่าโครงการแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียม หากเป็นโครงการที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่แท้จริง ก็จะยังได้รับความนิยม เพราะได้รับแรงส่งจากการขยายการเปิดใช้รถไฟฟ้า ที่เริ่มเปิดให้บริการ ส่วนต่อขยายหลายเส้นทาง ทำให้ทำเลตามแนวรถไฟฟ้าเหล่านี้ถูกจับจองด้วยโครงการคอนโดมิเนียมในระดับราคาต่ำกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตร หรือต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนรวมกัน 70% ของโครงการใหม่ทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะอยู่เขตเมืองชั้นนอกคือ สุขุมวิทรอบนอก แจ้งวัฒนะ มีนบุรี รามอินทรา และพื้นที่รัชดา-ลาวพร้าว
        นางสาวสุวรรณีกล่าวว่า 3.มิกซ์ยูสบุกตลาด เนื่องจากเป็นอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบผสมผสาน ที่ประกอบไปด้วยสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม และที่อยู่อาศัย ซึ่งเหมาะกับเมืองหลวงที่มีที่ดินในเขตใจกลางเมืองที่จำกัด โดยจากการสำรวจพบว่า โครงการส่วนใหญ่จะทยอยเปิดให้บริการระหว่างปี 2561-2569 4.การร่วมมือกันของแบรนด์ต่างๆ เพราะจะมีการดึงแบรนด์ด้านไลฟ์สไตล์ต่างๆ เข้ามาเปิดบริการร่วมกัน 5.โครงการใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพราะปี 2563 เปิดศักราชด้วยการงดแจกถุงพลาสติกสำหรับห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ สร้างการรับรู้และการปรับตัวของผู้ซื้อครั้งใหญ่ ในภาคอสังหาริมทรัพย์เองก็เริ่มมีการเปลี่ยนไปสู่การตั้งเป้าหมายในการเป็นโครงการสีเขียวมากขึ้น 6.โครงการเช่าระยะยาว (Leasehold) จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการมีจำกัดมากขึ้น ประกอบกับเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่นิยมอยู่แบบเป็นโสดมากขึ้น และโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เริ่มทำให้คนไทยเปิดใจรับโครงการแบบ Leasehold มากขึ้นกว่าเดิม
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ