ORIลุ้นQ4โตสนั่น215%กำไรปี60เฉียด2พันล.
“ออริจิ้น” ฟอร์มเจ๋ง! โบรกฯคาดไตรมาส 4/60 กำไรอลังการ 1,000 ล้านบาท พุ่งกระฉูด 215% บุ๊ครายได้ 5,100 ล้านบาท โตสนั่น 300% หนุนผลงานปี 60 กำไรทะลัก 1,966 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 208% เชียร์ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 25 บาท/หุ้น
สำนักวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ประเมินว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4/2560 บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ทำจุดสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 215% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 318 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 80% จากไตรมาสก่อนที่ประมาณ 556 ล้านบาท เนื่องจากมีการทำรีแบรนด์ใหม่ โดยมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน และการขายเงินลงทุนในบริษัทลูก 312 ล้านบาท ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 มีกำไรสุทธิ 966 ล้านบาท ดังนั้น คาดว่าทั้งปี 2560 จะมีกำไรสุทธิประมาณ 1,966 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 208% จากปีก่อนประมาณ 637 ล้านบาท
ขณะที่คาดว่ารายได้ของ ORI ในช่วงไตรมาส 4/2560 ไว้ที่ 5,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 300% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เพิ่มขึ้น 209% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการรับรู้รายได้ส่วนใหญ่มาจากโครงการ Kensington แหลมฉบัง และศรีราชาในระยะแรก, โครงการ Park 24 และโครงการบ้าน Precast, Britania คาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4/2560
รวมถึงคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 38.50% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 47.50% และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่ 46.8%, ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายอยู่ที่ 20% เทียบกับ 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดและค่าใช้จ่ายด้านบุคคลที่เพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสก่อน ดังนั้น คงประมาณการรายได้ปี 2560-2562 เนื่องมาจากการเติบโตในอนาคตมาจากงานในมือ 100% รวมโครงการ Park 24 ในช่วงปี 2560, 80% ในปี 2561 และ 60% ในปี 2562
ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” หุ้น ORI ประเมินมูลค่าที่เหมาะสม 25 บาท/หุ้น อ้างอิงอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ PER ที่ 23.4 เท่า สำหรับปี 2561 คิดจาก PEG 1 เท่าของอัตราการเติบโต (CAGR) ในช่วงเวลา 3 ปี (ปี 2561-2564) โดยมองว่า ORI จะมีการเติบโตที่ดีกว่าบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN, บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI และบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH จากการรับรู้รายได้ของโครงการคอนโดมิเนียมในปี 2560-2561
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า ORI มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่ดีมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สำหรับระยะสั้นคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/2560 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 461% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 221% จากไตรมาสก่อน ซึ่งมีแรงผลักดันจากการโอนคอนโดมิเนียมของบริษัท และพาร์ค 24 เฟส 1 รวมถึงกำไรพิเศษจากการขายหุ้นเข้าสู่บริษัทร่วมทุน (JV) คือ NRED ส่วนภาพระยะยาว อัตราการเติบโต CAGR ในช่วงปี 2559-2562 เป็น 78% ด้านยอดขายรอโอน (Backlog) ก็มีความมั่นคงสูง ช่วยรับประกันรายได้ปี 2560 ถึง 98% ปี 2561 ถึง 69% และปี 2562 ถึง 57%
โดยบริษัทใช้กลยุทธ์การหาธุรกิจใหม่ๆ สำหรับพัฒนาคอนโดมิเนียมที่ใกล้รถไฟฟ้าส่วนขยายที่มีศักยภาพ ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นส่วนใหญ่จะพัฒนาคอนโดมิเนียมที่เป็นใจกลางเมือง (CBD) ซึ่งมีต้นทุนที่ดินสูงมาก ขณะเดียวกับที่บริษัทจะมีหลายแบรนด์ในทำเลเดียวกัน เพื่อให้มีความสามารถจับลูกค้าหลายกลุ่มได้ในแบรนด์ที่ต่างกัน อีกทั้งจะได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) ทั้งนี้ แนะนำ “ซื้อ” ORI และประเมินราคาพื้นฐานเป็น 24.90 บาท แบ่งเป็นธุรกิจที่อยู่อาศัย ด้วย P/E 10 เท่า เป็น 20.30 บาท และธุรกิจให้เช่าจากสินทรัพย์ที่มีอยู่เป็น 4.60 บาท ซึ่งจะมีที่ทำเลทองหล่อ ศรีราชา-แหลมฉบัง และชลบุรี-ศรีราชา
*ลั่นรายได้ปี 61 โต 1.4 หมื่นล้าน
ก่อนหน้านี้ นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORI เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2561 ไว้ที่ 14,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท เนื่องจากมียอดขายรอโอน (Backlog) ที่จะรับรู้รายได้ในปี 2561 แล้วประมาณ 10,148 ล้านบาท ของ Backlog ทั้งหมด 29,363 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทตั้งเป้ายอดขาย (Presale) ในปี 2561 อยู่ที่ 18,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปี 2560 ที่คาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2561 จำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 25,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 10 โครงการ (เป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด) และบ้านจัดสรร 2 โครงการ ระดับราคาเฉลี่ย 3-6 ล้านบาท คาดว่าจะมีลูกค้าจากต่างประเทศมากถึง 30% จากปัจจุบันอยู่ที่ 20% ได้แก่ ฮ่องกง, สิงคโปร์, ไต้หวัน และจีน เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทตั้งงบการซื้อที่ดินในปี 2561 ประมาณ 5,000 ล้านบาท จากปี 2560 ที่มีการซื้อที่ดินแล้วประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย รวมถึงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าให้เช่า ร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตทฯ โดยจะใช้งบการลงทุนมูลค่า 500 ล้านบาท บนพื้นที่ 20-50 ไร่ คาดว่าจะชัดเจนในปี 2561 และเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2562
สำหรับในปี 2560 บริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท โดยช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมี Backlog รวมอยู่ที่ 29,363 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2563 แบ่งเป็น โครงการ KNIGHTSBRIDGE ประมาณ 37%, โครงการ PARK 24 เฟส 2 ประมาณ 22%, โครงการ PARK 24 เฟส 1 ประมาณ 15%, โครงการ NOTTING HILL ประมาณ 13%, โครงการ KENSINGTON ประมาณ 12% และอื่นๆ 1%
ส่วนโครงการร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด (NRED) ปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการแล้ว จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการ KNIGHTSBRIDGE อ่อนนุช, โครงการ KNIGHTSBRIDGE รามคำแหง, โครงการ KNIGHTSBRIDGE รัชโยธิน, โครงการใหม่ KNIGHTSBRIDGE ที่จะเปิดตัวเร็วๆ นี้ มูลค่ารวมประมาณ 8,600 ล้านบาท และโครงการ PARK ทองหล่อ มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท