LPN ตั้งเป้าปี 61 รายได้แตะ 12,000 ล้านบาท เตรียมเปิดโครงการใหม่ทั้งแนวสูงและแนวราบรวม 14 โครงการ มูลค่ารวม 18,000 ล้านบาท ตุนแบ็กล็อก 5,900 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ภายในปีนี้ มั่นใจโตต่อเนื่อง 3 ปี

นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปี 2561 จะมีรายได้รวมอยู่ที่ 12,000  ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม ประมาณ 10,500 ล้านบาท และโครงการแนวราบ ประมาณ 1,500 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขาย (Presale) ไว้ที่ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม ประมาณ 17,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ ประมาณ 3,000 ล้านบาท

โดยในปี 2561 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบรวม 14 โครงการ มูลค่า 18,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 15,000  ล้านบาท และแนวราบ  3,000 ล้านบาท  ส่วนบริษัท พรสันติ จำกัด (บริษัทย่อย) เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 1 โครงการ มูลค่า 850 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ามีรายได้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท และมียอดขาย 2,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ปัจจุบัน บริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ในปี 2561 ประมาณ 5,900 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50% ของเป้ารายได้รวม ณ สิ้นปี 2560 ที่มีแบ็กล็อกรวมอยู่ที่  7,400 ล้านบาท ประกอบกับมีสินค้าเหลือขายพร้อมเข้าอยู่ (Inventory) ประมาณ 7,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50% ของมูลค่าสินค้าพร้อมอยู่ทั้งหมด

ส่วนการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ (Rebranding) ได้ว่าจ้างบริษัทที่มีความเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์และชื่อเสียงอย่างยาวนานในวงการ คาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนของบริษัทได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561 เพื่อรองรับแผนการเติบโตของบริษัท และบริษัทในเครือในช่วงระยะ 3 ปี (ปี 2561-2563)  ผ่าน  2 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจบริการ โดยวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 35-40% และรายได้จากกลุ่มธุรกิจบริการเติบโตอยู่ที่ 20%

สำหรับการปรับเปลี่ยนในปี 2560 ที่ผ่านมา ทำให้เห็นภาพการฟื้นตัวที่เด่นชัดในปี 2561 ถือเป็นปี “Year of Change ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง”  ซึ่งจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ  ด้าน ทั้งกลยุทธ์การเพิ่มรายได้ที่เน้นขยายฐานรายได้  จากธุรกิจหลักธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และการเพิ่มทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง  รวมถึงยังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคณะกรรมการ เปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารที่ดึงคนนอกเข้ามาเสริมทีมให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบ IT เพื่อรองรับธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง

ขณะที่ในปี 2560 เป็นปีแรกที่บริษัท และบริษัทในเครือได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินงานของธุรกิจครั้งใหญ่ก้าวสู่ “บริบทใหม่แห่งความยั่งยืน” ด้วยการแบ่งกลุ่ม 2 ธุรกิจ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Developer) และกลุ่มธุรกิจบริการ (Service Provider) พร้อมกำหนดให้เป็น  “YEAR OF SHIFT” เพื่อปรับกลุ่มเป้าหมายจากกลางถึงกลาง-ล่างเป็นกลางถึงกลาง-บน  รวมถึงกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ระยะสั้น เพื่อระบายสินค้าพร้อมอยู่ (Inventory) ให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ด้านผลการดำเนินงานในปี 2560 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,062 ล้านบาท และมีรายได้มาจากกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ที่ดำเนินงานผ่านบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN และบริษัท พรสันติ จำกัด  หรือ PST  ด้วยการทยอยเปิดตัวโครงการในกลุ่มเป้าหมายเน้นกลุ่มเป้าหมายจากกลางถึงกลาง-ล่าง เป็นกลางถึงกลาง-บน ตลอดปี 2560 ทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ส่งผลให้มีรายได้อยู่ที่ 9,655  ล้านบาท และมียอดขายอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90% หรือเกือบเท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2559

ส่วน PST ผลประกอบการอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยมีรายได้มาเติมเต็มรายได้จากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อขายได้ในเกณฑ์ที่ดี โดยในปี 2560 บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ รวม 5 โครงการ มูลค่า  2,450 ล้านบาท เติบโต 27%  ซึ่งสามารถสร้างรายได้อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท เติบโต 18% และมียอดขายอยู่ที่ 1,750 ล้านบาท เติบโต 27%  เมื่อเทียบกับปี 2559

อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจบริการได้ดำเนินธุรกิจผ่านบริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จำกัด หรือ LPC, บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP และบริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด  หรือ LPS ปัจจุบันได้รับความเชื่อมั่นและเริ่มให้บริการสู่องค์กรภายนอกหลายแห่ง ซึ่งในปี 2560 ที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้กว่า 970 ล้านบาท  หรือเติบโต 10%

“บริษัทเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในปี 2561 นี้ จะเป็นแนวทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืนของบริษัทต่อไปในอนาคต สำหรับการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ LPN ได้ว่าจ้างบริษัทที่มีความเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์และชื่อเสียงอย่างยาวนานในวงการ ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนของบริษัทได้ในครึ่งปีหลังของปี 2561 นี้” นายโอภาส  กล่าว