รับสร้างบ้านสนองผู้บริโภคยุค4.0THBAจัดอีเวนต์ออนไลน์ตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้า
สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association: THBA) ประเมินความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคและประชาชนประเภท "บ้านเดี่ยวสร้างเอง" ครึ่งหลังปี 2560 ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยในครึ่งปีหลังความต้องการสร้างบ้านกลับมาฟื้นตัวได้ดี ทั้งนี้ น่าจะเป็นผลมาจากกำลังซื้อที่อั้นมานานและความเชื่อมั่นของประชาชน ที่มีสัญญาณบวกต่อทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจในอนาคต โดยเฉพาะ ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและภาคการส่งออกขยายตัวดีเกินคาด กอปรกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งมาตรการลดหย่อนภาษีและเม็ดเงินที่อัดฉีดเข้ามาสู่ระบบในปี 2560 ทำให้ประชาชนมีกำลังจับจ่ายใช้สอย และมีเงินหมุนเวียนในภาคธุรกิจดีขึ้น อย่างไรก็ดี ความต้องการสร้างบ้านและตัวเลขยอดขายบ้านที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้าย อาจจะยังไม่สะท้อนตัวเลขรายได้ของผู้ประกอบการสร้างบ้านในปี 2560 มากนัก เนื่องจากการก่อสร้างและการจ้างงานส่วนใหญ่จะเริ่มลงมือในไตรมาสแรกปี 2561 ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อเนื่องถึงภาคผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุที่ปรับตัวดีขึ้นตามกัน
สำหรับภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้าน พบว่ามีการขยายตัวไปในทิศทางเดียวกัน บรรดาผู้ประกอบการรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ มียอดขายบ้านเพิ่มขึ้นในช่วงท้ายปีนี้ ยกเว้น ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมบางจังหวัด ซึ่งกำลังซื้อผู้บริโภคและยอดขายบ้านยังไม่กระเตื้องขึ้น ทั้งนี้สมาคมฯ ประเมินมูลค่ารวม "บ้านสร้างเอง" ทั่วประเทศปี 2560 อยู่ที่ประมาณ 1.2-1.4 แสนล้านบาท ขณะที่กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านคาดว่ามีแชร์ส่วนแบ่งตลาด 1.3-1.4 หมื่นล้านบาท ขยายตัวเล็กน้อยหรือใกล้เคียงกับปีก่อน จากตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในต่างจังหวัดยังเลือกว่าจ้างผู้รับเหมาทั่วไปและรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ เหตุเพราะ 1.ผู้บริโภคในต่างจังหวัดเข้าถึงกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านได้ยาก เพราะส่วนใหญ่ให้บริการอยู่เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และ 2.ความไม่เข้าใจเรื่องคุณภาพที่แตกต่างและราคาบ้านที่แท้จริง จึงทำให้ผู้บริโภค ปฏิเสธจะสร้างบ้านกับผู้ประกอบการรับสร้างบ้านด้วยเพราะรู้สึกว่าราคาแพง
ด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคเห็นได้ชัดเจนว่า มีความต้องการเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทั้งประโยชน์ใช้สอยและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง รวมถึงสนใจและต้องการนวัตกรรมการก่อสร้าง วัสดุและอุปกรณ์ใหม่ๆ สำหรับการสร้างบ้านหรือที่อยู่ อาศัยหลังใหม่ ในส่วนของผู้ประกอบการเองก็มี การเร่งปรับตัวตาม เช่น การนำวัสดุทดแทน วัสดุธรรมชาติมาใช้สร้างบ้าน หรือวัสดุที่ช่วยประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งแนวโน้มวัสดุและอุปกรณ์ที่กล่าวมา กำลังกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานการสร้างบ้านของกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้าน เพื่อตอบสนองผู้บริโภคในยุค 4.0
ห่วงสงครามราคา
"คงต้องยอมรับความจริงว่าการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อปี 2557 มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจรับสร้างบ้านมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความอ่อนไหวและความกังวลของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจนี้ ที่มีต่อแนวโน้มและทิศทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความไม่แน่นอนทางการเมืองในอนาคต ทำให้กำลังซื้อและการตัดสินใจของผู้บริโภคส่วนหนึ่งชะลอตัว"
อย่างไรก็ดี ในปี 2560 ผู้บริโภคเริ่มคลายความกังวลและกำลังซื้อค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ กลับพบว่า ธุรกิจรับสร้างบ้านมีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง ไม่เว้นแม้กระทั่งบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำในกลุ่ม Top 10 หลายๆ รายหันมาใช้กลยุทธ์ตั้งราคาขาย (Price List) ให้สูงไว้ก่อน เพื่อจะใช้จัดโปรโมชันลดราคาได้เยอะ ๆ หรือลดราคาลง 15-30% จากราคาปกติ สวนทางกับความเป็นจริง เพราะกำไรขั้นต้นหรือมาร์จิ้นจากต้นทุนก่อสร้างมีส่วนต่างไม่มากนัก ในขณะที่กลุ่มรับสร้างบ้านรายเล็กๆ จะเน้นใช้กลยุทธ์ราคาตั้งราคาขายต่ำไว้ก่อน โดยปรับคุณภาพวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เป็นต้นทุนหลักลดลงตามราคาขาย หากผู้บริโภคต้องการวัสดุและอุปกรณ์ที่คุณภาพดีขึ้น ราคาขายบ้านก็จะถูกปรับสูงขึ้นในภายหลังตามกัน
คาดการณ์ปี'61 ตลาดรับสร้างบ้านยังเติบโต
สมาคมฯ ประเมินบ้านสร้างเองทั่วประเทศปี 61 คาดว่ามีมูลค่ารวม 1.3-1.5 แสนล้านบาท ขณะที่กลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านคาดว่าจะมีแชร์ส่วนแบ่งตลาด 1.4-1.5 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยเป็นการเติบโตในแง่ของมูลค่าต่อหน่วยที่ปรับขึ้นตามต้นทุน และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการเติบโตของส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบการในธุรกิจรับสร้างบ้าน อย่างไรก็ตาม ตลาดรับสร้างบ้านยังมีการแข่งขันกันสูงพอสมควร ซึ่งจะกดดันมิให้ผู้ประกอบการปรับราคาได้ง่ายนัก สำหรับกลยุทธ์การแข่งขัน สมาคมฯ คาดว่าโปรโมชั่นลดราคา ยังถูกนำมาใช้กระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคเช่นปีที่ผ่านมา
"อิทธิพลของสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียในยุคเศรษฐกิจ 4.0 มีผลทำให้พฤติกรรมกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการใช้บริการธุรกิจรับสร้างบ้านเปลี่ยนไป โดยหันมาค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต หรือสื่อออนไลน์มากกว่า ด้วยเพราะมีความสะดวกและสามารถหาข้อมูลของผู้ประกอบการได้ลึกและง่ายขึ้น ดังจะเห็นว่าบรรดาผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน หันมาเน้นสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ควบคู่กับการขยายสาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทั้งนี้ ก็เพื่อผู้บริโภคสามารถเข้าถึงหรือติดต่อใช้บริการได้สะดวกยิ่งขึ้น"
เล็งจัดอีเวนต์ออนไลน์ตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค
นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาเลือกรับข้อมูลข่าวสารจากสื่อออนไลน์เป็นหลัก ดังนั้นในปี 2561 สมาคมฯ จึงร่วมมือกับสมาชิกทั้งกลุ่มธุรกิจรับสร้างบ้านและวัสดุ เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย โดยเตรียมจัดงานมหกรรมบ้านฯ ออนไลน์ หรือ "บ้านและวัสดุออนไลน์แฟร์ 2560" ซึ่งยังไม่เคยมีการจัดงานรูปแบบอีเวนต์ออนไลน์นี้มาก่อน ในแวดวงธุรกิจรับสร้างบ้านและวัสดุก่อสร้าง และถือเป็นมิติใหม่ของวงการ
สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดงานฯ ครั้งนี้ ก็เพื่อให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายจากทั่วประเทศ สามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ประกอบการได้สะดวกและง่ายขึ้น สอด คล้องกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคเศรษฐกิจ 4.0 ในส่วนของผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน ไม่ว่าจะดำเนิน ธุกิจอยู่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดสามารถเข้าร่วมออกบูทงานนี้ได้ทุกราย เพราะการตลาดออนไลน์นั้น สื่อสารกับ ผู้บริโภคได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยผู้ประกอบ การลดค่าการตลาดลง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ต่างกับการออกบูทงานแสดงสินค้าทั่วไป โดยเฉพาะภาวะการแข่งขันของภาคธุรกิจรับสร้างบ้านในปัจจุบัน การปรับตัวและลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการเป็นสิ่งสำคัญ รวมทั้งสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการแข่งขันและลดต้นทุนลง สามารถช่วยผู้บริโภคประหยัดค่าใช้จ่ายหรือจ่ายน้อยลง แต่ได้คุณภาพสินค้าเหมือนเดิม