THANA ตั้งเป้ารายได้ปี 61 โต 15% มั่นใจภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช่วยหนุน กางแผนเปิดขาย 2 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 1,500 ล้านบาท

นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมและยอดขาย (Presale) ปี 2561 จะเติบโตประมาณ 10-15% จากปี 2560 โดยคาดภาพรวมเศรษฐกิจในปีหน้ามีแนวโน้มดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และผลักดันให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น

โดยในงวดปี 2561 ทางบริษัทมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว และโครงการบ้านแฝด ทั้งนี้ โครงการประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับ 33-34% และบริษัทยังเน้นการออกแบบและฟังก์ชั่นภายในโครงการ และในอนาคตบริษัทจะเจาะกลุ่มตลาดพรีเมียมมากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังจะรักษาระดับยอดปฏิเสธสินเชื่อในปี 2561 ให้อยู่ในระดับเดียวกับปี 2560 ที่คาดจะอยู่ที่ 10% ซึ่งบริษัทมีหน่วยงานตรวจสินเชื่อภายในเพื่อคัดกรองลูกค้าก่อนการจองซื้อ รวมถึงได้ร่วมมือกับสถาบันการเงินอีก 3 ราย เพื่อคัดกรองลูกค้า และอาศัยฐานข้อมูลจากเครดิตบูโรเป็นหลัก

โดยบริษัทจะเน้นการพัฒนาโครงการในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีเป็นหลัก เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ ซึ่งมีแผนงานการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคต่างๆ อย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ และบริษัทมีการวางแผนการดำเนินงานอย่างรัดกุม ตลอดจนการปรับแผนคุมค่าใช้จ่ายทางการตลาดให้เหมาะสม เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดให้บริษัท

 “จากตัวเลขคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจ (GDP) ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าที่คาดจะเติบโตเกิน 4% จะส่งผลต่อทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยจะกลับมาสดใสขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2559 และปี 2560 ซึ่งการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเป็นไปตามการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ” นายสุทธิรักษ์ กล่าว

ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้รวมจะเติบโตประมาณ 20% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 790.09 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้รวมแล้วที่ 661.87 ล้านบาท ด้านแนวโน้มยอดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงไตรมาส 4/2560 บริษัทคาดจะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยจะมาจากโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ที่มีอัตราการความต้องการสูงขึ้น ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 3/2560 บริษัทมียอดขาย 250 ล้านบาท ซึ่งมาจากโครงการที่อยู่ระหว่างการเปิดขาย จำนวน 8 โครงการ เป็นโครงการที่จังหวัดนนทบุรี จำนวน 7 โครงการ และโครงการที่จังหวัดอุดรธานี จำนวน 1 โครงการ