สมาร์ทซิตี้หนุนอสังหาฯขอนแก่นกระเตื้องเชื่อ อนาคตเติบโตสูงหากระบบขนส่งมวลชน-รถไฟฟ้ารางเบาก่อสร้างแล้วเสร็จ ด้านโอเชี่ยนรับลูกเดินหน้าเปิดขาย "โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพขอนแก่น" คอนโดฯราคาล้านต้นๆ 223 ยูนิต เผยเปิดขาย 1 เดือนกวาดยอดขายแล้ว 70%

นายชาญณรงค์ บุริสตระกูล นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ขอนแก่น เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ขอนแก่นว่า ปี 2560 ภาวะตลาดยังคงทรงตัวแต่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นหลังจากซัปพลายในตลาดปรับตัวลดลง จากที่เคยหวือหวามากช่วงปี 2555-2556 จนทำให้มีโครงการคอนโดฯเปิดขายนับหมื่นยูนิต ทำให้มีผู้ประกอบการหลายรายยกเลิกโครงการ ปัจจุบันมีการก่อสร้างจริงเพียง 2,000 กว่ายูนิตเท่านั้น

ทั้งนี้ คาดว่าในปีนี้จะมีโครงการคอนโด- มิเนียมเปิดตัวใหม่ 4 โครงการ ประมาณ 1,000 ยูนิต โดยการขายคอนโดฯที่เป็นตึกเตี้ยโครง การขนาดเล็กที่ยังมีความต้องการซื้อในเกณฑ์ที่ดี ส่วนโครงการแนวราบยังมียอดขายอย่างต่อเนื่อง การชะลอตัวของอสังหาฯ ขอนแก่นส่วนหนึ่งเกิดจากธนาคารเข้มงวดการให้ สินเชื่อ ทำให้มีอัตราปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 50% ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ที่มียอดปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 50% อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีแรก 2560 อัตราดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นจากหลายเหตุผล ได้แก่ ธนาคารมีการตรวจสอบละเอียดขึ้นทำ ให้ลูกค้าประวัติดีมีโอกาสผ่านการอนุมัติ ลูกค้าทราบถึงความเข้มงวดของแบงก์ทำให้มีการ เตรียมตัว นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังช่วยให้ลูกค้าได้ทดลองยื่นกู้ก่อน จึงเชื่อว่าภาวะอสังหาฯ ขอนแก่นน่าจะฟื้นตัวขึ้นบ้างในช่วงครึ่งปีหลัง

ด้านนายสุรเดช ทวีแสงสุข ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง (KKTT) จำกัด กล่าวว่า การพัฒนาขอนแก่นให้เป็นสมาร์ทซิตี้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจขอนแก่นมีการเติบโตสูงมากขึ้น กลายเป็นเมืองศูนย์กลางของภาคอีสานและประเทศเพื่อบ้าน ซึ่งจะใช้ระบบขนส่งมวลชนเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพาณิชย์ โดยคาดว่าภายในปลายปีนี้จะสามารถตอกเสาเข็มระบบรถไฟฟ้ารางเบาระยะทาง 23 กิโลเมตร 18 สถานีได้ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนศึกษาผล กระทบสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังจะมีการพัฒนาพาณิชย์ ในรูปแบบผสมผสานโดยจะมีทั้งที่อยู่อาศัยระดับบน ราคา 3-5 ล้านบาท/ยูนิต ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ราคา 5-6 แสนบาท/ยูนิต

โอเชี่ยนงัดแลนด์แบงก์ไทยสมุทรผุดคอนโดฯล้านต้น

นายธีระชัย พิพิธศุภผล กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในเครือไทยสมุทรประกันชีวิต เปิดเผยว่า โอเชี่ยนเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้สำหรับปี 2560 คือการกลับมาพัฒนาอสังหาฯเพื่อขายหลังจากที่บริษัทไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่มากว่า 5 ปี โดยเมื่อวันที่ 1 ก.ค.2560 บริษัทได้เปิดขายโครงการแนวสูงในจังหวัดขอนแก่นคือ "โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพ-ขอนแก่น" มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท เป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ 8 ชั้น เนื้อที่ขนาด 2 ไร่ จำนวน 223 ยูนิต บนถนนมิตรภาพ ปัจจุบันสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 70%

หลังจากเปิดพรีเซลได้รับผลตอบรับที่น่าพอใจ มียอดจองแล้ว 70% ส่วนใหญ่กลุ่มลูกค้า 70% เป็นบุคลากรทางการแพทย์ เนื่อง จากที่ตั้งคอนโดฯอยู่ใกล้โรงพยาบาลต่างๆ เช่น รพ.ศรีนครินทร์ รพ.ราชพฤกษ์ (อยู่ระหว่างก่อสร้าง) รวมถึงมหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำให้อีก 20% เป็นลูกค้านักลงทุนปล่อยเช่าโดยมีเป้าหมายเป็นนิสิตนักศึกษา ส่วนอีก 10% เป็นลูกค้าจากจังหวัดข้างเคียงที่ต้องการที่อยู่อาศัยเมื่อเข้ามาทำงานในขอนแก่น

ธีระชัย มองว่า โอเชี่ยนเลือกลงทุนในจังหวัดขอนแก่นเพราะเชื่อว่ามีศักยภาพในการเติบโต โดยเป็นศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นศูนย์กลางการศึกษาและการแพทย์ เป็นเส้นทางผ่านของโครงการรถไฟความเร็วสูง โคราช-หนองคาย และปัจจุบันมี บริษัท ขอนแก่นพัฒนาเมือง (KKTT) จำกัด จากกลุ่มนักธุรกิจท้องถิ่นราว 20 รายที่ร่วมกันก่อตั้งโมเดลการพัฒนาเมืองแบบใหม่ เริ่มต้นจากการพัฒนารถไฟฟ้ารางเบาภายในจังหวัดขอนแก่น จึงเชื่อว่าขอนแก่นจะยังเจริญเติบโตต่อไป

นอกจากนี้ มุมมองต่อตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่าต่างจังหวัดค่อนข้างซบเซา แต่โอเชี่ยนวิเคราะห์ว่าอุปทานในตลาดคอนโดฯ ขอนแก่นจำเป็นต้องแยกเป็น 2 ส่วนคือ คอนโดฯ ไฮไรส์ และคอนโดฯโลว์ไรส์ สำหรับคอนโดฯสูงเกิน 8 ชั้นมีทั้งหมด 3 โครงการแล้วและเชื่อ ว่าตลาดอยู่ในสภาวะอิ่มตัว แต่คอนโดฯไฮไรส์ยังมีพื้นที่ให้เกาะกลุ่มลูกค้า โดยคอนโดฯแบบตึกเตี้ยของขอนแก่นมีซัปพลายอยู่ประมาณ 1,000 กว่ายูนิต เหลือขายราว 300 ยูนิต ขณะที่อัตราดูดซับประมาณ 200-250 ยูนิตต่อปี ซึ่งจะทำให้ดูดซับได้หมดภายใน 1 ปีครึ่ง

ทั้งนี้ โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ปัจจุบัน มีโครงการระหว่างขายคือ 1.คอนโดมิเนียม โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ พัทยา 2.โครงการแนวราบ โอเชี่ยนเกท อ.เมือง-สุพรรณบุรี และ 3.คอนโดมิเนียม โอเชี่ยน เรสซิเดนซ์ มิตรภาพขอนแก่น ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 700 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 800 ล้านบาท สำหรับปี'61 บริษัทจะเปิดตัวอีก 2 โครงการแนวราบใน จ.ภูเก็ต มูลค่ารวมกว่า 1,300 ล้านบาท