บิ๊กอสังหาชิงเค้กจีนย้ายถิ่นเรียนไทย
วันที่ : 5 พฤษภาคม 2562
แอลทีวี โหด ทำตลาดอสังหาฯชะลอตัว บิ๊กเนมเห็นช่องกลุ่ม "วัยเรียน" จีน ทะลัก ผู้ปกครองย้ายถิ่นฐานปักหลักส่งบุตรหลานเรียนในไทยเล็งเมืองจุดหมายปลายทางด้านการศึกษาอันดับท็อป เทรนด์แรงน่าจับตา
จีนซื้ออุดมศึกษานับ10แห่ง
แอลทีวี โหด ทำตลาดอสังหาฯชะลอตัว บิ๊กเนมเห็นช่องกลุ่ม "วัยเรียน" จีน ทะลัก ผู้ปกครองย้ายถิ่นฐานปักหลักส่งบุตรหลานเรียนในไทยเล็งเมืองจุดหมายปลายทางด้านการศึกษาอันดับท็อป เทรนด์แรงน่าจับตา
จากแนวโน้มนักลงทุนชาวจีนเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รั้งอันดับ 4 ของโลกด้วยมูลค่าลงทุน 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อปี 2561 เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และออสเตรเลียเท่านั้น กลายเป็นโอกาสของตลาดที่อยู่อาศัยไทยในการเจาะทำตลาด
แม้ขณะนี้จะถูกนโยบายรัฐสกัดกั้นการลงทุนที่สูงเกินไปในกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน ผ่านธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) ออกกฎเกณฑ์กำหนดวางดาวน์สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม พบความต้องการลงทุนอสังหาฯในไทยของชาวจีนยังคงเกิดขึ้น และมักเชื่อมโยงกับการแสวงหาผลตอบแทนในการปล่อยเช่า รองรับการอยู่อาศัยของตนเองขณะสูงวัย และกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ที่น่าสนใจยิ่ง เมื่อส่วนหนึ่งเป็นการซื้อลงทุน เพื่อรองรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐาน ปักหลักส่งบุตรหลานเรียนในไทย หรือที่เรียกว่ากลุ่ม Education Buyers หลังจากปัจจุบันประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ที่พ่อ-แม่ชาวจีนฐานะปานกลาง เลือกส่งบุตรหลานมาเรียน ตั้งแต่ระดับชั้นเด็กเล็ก ไปจนถึงปริญญาโท ด้วยเหตุผล ค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากนัก และมีวัฒนธรรมการอยู่อาศัยใกล้เคียงกัน ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมา มีกลุ่มนักลงทุนใหญ่จากจีน เข้ามาซื้อกิจการโรงเรียนระดับอุดมศึกษาในไทยนับ 10 แห่ง ยิ่งเป็นตลาดที่น่าสนใจถึงแนวโน้มในอนาคต
นายหลี่ หลง ประธานสมาคมการค้าตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ไทย-จีน กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2559 นักลงทุนจีนเข้าลงทุนอสังหาฯในไทยอย่างมหาศาล จากความต้องการของกลุ่มลูกค้าเพื่อการศึกษาประมาณ 16.50% และย้ายถิ่นฐาน 48.20% ที่ในอดีตมักเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่อาศัยในระยะสั้นๆ แต่ปัจจุบันเน้นในการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และปล่อยเช่าเมื่อบุตร-หลาน จบการศึกษา กับอีกกลุ่ม คือ ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่ารองรับความต้องการของกลุ่ม Education Buyers และอื่นๆ โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา นักลงทุนจีนมีข้อจำกัดในการซื้ออสังหาฯในไทยอยู่มาก โดยเฉพาะความเข้มงวดจากนโยบายถือครอง ที่กำหนดไว้เพียงไม่เกิน 49% และการเรียกใบรับรองการโอนเงินจากต่างประเทศ ซึ่งสร้างความยุ่งยากให้กับผู้ซื้อ ขณะเดียวกัน ปัญหาสำคัญ คือ การเกิดขึ้นของตัวแทนซื้อ-ขาย ที่ไม่มีความชัดเจน ไม่มีกฎระเบียบรองรับทำ ให้ผู้ซื้อมักถูกหลอกลวงและเสียสิทธิประโยชน์ต่างๆ
สำหรับความนิยมด้านราคาของคอนโดมิเนียม นายหลี่ ระบุว่า ยังคงเป็นกลุ่ม 3-5 ล้านบาทต่อหน่วย ขนาดห้องใหญ่ สามารถอยู่อาศัยเป็นครอบครัว ทำเลที่ชื่นชอบ ส่วนใหญ่เน้นแนวรถไฟฟ้า ใกล้โรงเรียนนานาชาติชื่อดัง ใกล้ห้าง โรงพยาบาลเป็นต้น ส่วนใหญ่อยู่ในย่านรัชดาฯ, พระราม 9 และกระจายไปยัง ย่านฝั่งธน แนวเส้นทางรถไฟฟ้า
ด้านดีเวลอปเปอร์ไทย นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ ALL ยังคงมอง กำลังซื้อ ต่างชาติ อย่างจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ฯลฯ ดีต่อเนื่อง เนื่องจากช่วยระบายสินค้าได้เร็ว เช่นเดียวกับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น (ORI) นาย พีระพงศ์ จรูญเอก ยอมรับว่า ตลาดจีน ฮ่องกง สนใจคอนโดฯแนวรถไฟฟ้าเนื่องจากราคาไม่แพงและส่วนใหญ่มักซื้อเงินสด
ซีกมุมมองของนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่มองว่า มาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อของแบงก์ชาติ ไม่สามารถควบคุมการซื้อคอนโดฯ ของนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะจีนได้ เนื่องจากนักลงทุนกลุ่มนี้ ไม่ได้กู้สินเชื่อจากแบงก์ไทย แต่ในทางกลับกันส่วนใหญ่มักซื้อเงินสดหรือวางเงินดาวน์สูงสำหรับตลาดใหญ่น่าสนใจจะเป็น ทำเลโรงเรียนนานาชาติ มหาวิทยาลัยชื่อดังผู้ปกครองมักซื้อหาให้บุตรหลานอยู่อาศัย
ด้านยักษ์หลับรอวันตื่น อย่างบมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ หลังประกาศเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายใน โดยมีนายธงชัย บุศราพันธ์, บริษัท ฟัลครัม โกลบอล แคปิตอล จำกัด และ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์เป็น 3 ผู้ถือหุ้นใหญ่ล่าสุดเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ วางเป้าหมายสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วง 3 ปีข้างหน้า ด้วยเป้ารายได้รวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งนายธงชัย ระบุว่าบริษัทจะใช้ความเชี่ยวชาญของผู้ถือหุ้นใหม่ทั้ง 2 กลุ่มเสริมการเติบโตของบริษัท โดยเฉพาะในการพัฒนาโครงการใหม่ใจกลางเมืองตลอดแนวรถไฟฟ้าปีละไม่ต่ำกว่า 4-5 โครงการ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะการเข้าไปเจาะตลาดลูกค้าต่างชาติ เพราะปัจจุบัน ลูกค้าต่างชาติกลายเป็นคีย์สำคัญสำหรับตลาดอสังหาฯไทย และพิสูจน์จากสัดส่วนลูกค้าต่างชาติของบริษัทในปัจจุบันที่ขยับเพิ่มขึ้นจาก 5% ในอดีต มาอยู่ที่ 23% ในช่วงปีที่ผ่านมา และคาดว่าปี 2562 จะแตะที่ระดับ 40% หรือยอดขายประมาณ 4 พันล้านบาท จากเป้ายอดรวมที่ 1 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีน
แอลทีวี โหด ทำตลาดอสังหาฯชะลอตัว บิ๊กเนมเห็นช่องกลุ่ม "วัยเรียน" จีน ทะลัก ผู้ปกครองย้ายถิ่นฐานปักหลักส่งบุตรหลานเรียนในไทยเล็งเมืองจุดหมายปลายทางด้านการศึกษาอันดับท็อป เทรนด์แรงน่าจับตา
จากแนวโน้มนักลงทุนชาวจีนเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รั้งอันดับ 4 ของโลกด้วยมูลค่าลงทุน 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อปี 2561 เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และออสเตรเลียเท่านั้น กลายเป็นโอกาสของตลาดที่อยู่อาศัยไทยในการเจาะทำตลาด
แม้ขณะนี้จะถูกนโยบายรัฐสกัดกั้นการลงทุนที่สูงเกินไปในกลุ่มผู้ซื้อต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน ผ่านธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) ออกกฎเกณฑ์กำหนดวางดาวน์สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม พบความต้องการลงทุนอสังหาฯในไทยของชาวจีนยังคงเกิดขึ้น และมักเชื่อมโยงกับการแสวงหาผลตอบแทนในการปล่อยเช่า รองรับการอยู่อาศัยของตนเองขณะสูงวัย และกำลังเป็นเทรนด์ใหม่ที่น่าสนใจยิ่ง เมื่อส่วนหนึ่งเป็นการซื้อลงทุน เพื่อรองรับกลุ่มผู้ย้ายถิ่นฐาน ปักหลักส่งบุตรหลานเรียนในไทย หรือที่เรียกว่ากลุ่ม Education Buyers หลังจากปัจจุบันประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ที่พ่อ-แม่ชาวจีนฐานะปานกลาง เลือกส่งบุตรหลานมาเรียน ตั้งแต่ระดับชั้นเด็กเล็ก ไปจนถึงปริญญาโท ด้วยเหตุผล ค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากนัก และมีวัฒนธรรมการอยู่อาศัยใกล้เคียงกัน ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมา มีกลุ่มนักลงทุนใหญ่จากจีน เข้ามาซื้อกิจการโรงเรียนระดับอุดมศึกษาในไทยนับ 10 แห่ง ยิ่งเป็นตลาดที่น่าสนใจถึงแนวโน้มในอนาคต
นายหลี่ หลง ประธานสมาคมการค้าตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ไทย-จีน กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2559 นักลงทุนจีนเข้าลงทุนอสังหาฯในไทยอย่างมหาศาล จากความต้องการของกลุ่มลูกค้าเพื่อการศึกษาประมาณ 16.50% และย้ายถิ่นฐาน 48.20% ที่ในอดีตมักเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่อาศัยในระยะสั้นๆ แต่ปัจจุบันเน้นในการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และปล่อยเช่าเมื่อบุตร-หลาน จบการศึกษา กับอีกกลุ่ม คือ ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่ารองรับความต้องการของกลุ่ม Education Buyers และอื่นๆ โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา นักลงทุนจีนมีข้อจำกัดในการซื้ออสังหาฯในไทยอยู่มาก โดยเฉพาะความเข้มงวดจากนโยบายถือครอง ที่กำหนดไว้เพียงไม่เกิน 49% และการเรียกใบรับรองการโอนเงินจากต่างประเทศ ซึ่งสร้างความยุ่งยากให้กับผู้ซื้อ ขณะเดียวกัน ปัญหาสำคัญ คือ การเกิดขึ้นของตัวแทนซื้อ-ขาย ที่ไม่มีความชัดเจน ไม่มีกฎระเบียบรองรับทำ ให้ผู้ซื้อมักถูกหลอกลวงและเสียสิทธิประโยชน์ต่างๆ
สำหรับความนิยมด้านราคาของคอนโดมิเนียม นายหลี่ ระบุว่า ยังคงเป็นกลุ่ม 3-5 ล้านบาทต่อหน่วย ขนาดห้องใหญ่ สามารถอยู่อาศัยเป็นครอบครัว ทำเลที่ชื่นชอบ ส่วนใหญ่เน้นแนวรถไฟฟ้า ใกล้โรงเรียนนานาชาติชื่อดัง ใกล้ห้าง โรงพยาบาลเป็นต้น ส่วนใหญ่อยู่ในย่านรัชดาฯ, พระราม 9 และกระจายไปยัง ย่านฝั่งธน แนวเส้นทางรถไฟฟ้า
ด้านดีเวลอปเปอร์ไทย นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ ALL ยังคงมอง กำลังซื้อ ต่างชาติ อย่างจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ฯลฯ ดีต่อเนื่อง เนื่องจากช่วยระบายสินค้าได้เร็ว เช่นเดียวกับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น (ORI) นาย พีระพงศ์ จรูญเอก ยอมรับว่า ตลาดจีน ฮ่องกง สนใจคอนโดฯแนวรถไฟฟ้าเนื่องจากราคาไม่แพงและส่วนใหญ่มักซื้อเงินสด
ซีกมุมมองของนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่มองว่า มาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อของแบงก์ชาติ ไม่สามารถควบคุมการซื้อคอนโดฯ ของนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะจีนได้ เนื่องจากนักลงทุนกลุ่มนี้ ไม่ได้กู้สินเชื่อจากแบงก์ไทย แต่ในทางกลับกันส่วนใหญ่มักซื้อเงินสดหรือวางเงินดาวน์สูงสำหรับตลาดใหญ่น่าสนใจจะเป็น ทำเลโรงเรียนนานาชาติ มหาวิทยาลัยชื่อดังผู้ปกครองมักซื้อหาให้บุตรหลานอยู่อาศัย
ด้านยักษ์หลับรอวันตื่น อย่างบมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ หลังประกาศเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายใน โดยมีนายธงชัย บุศราพันธ์, บริษัท ฟัลครัม โกลบอล แคปิตอล จำกัด และ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์เป็น 3 ผู้ถือหุ้นใหญ่ล่าสุดเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ วางเป้าหมายสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วง 3 ปีข้างหน้า ด้วยเป้ารายได้รวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งนายธงชัย ระบุว่าบริษัทจะใช้ความเชี่ยวชาญของผู้ถือหุ้นใหม่ทั้ง 2 กลุ่มเสริมการเติบโตของบริษัท โดยเฉพาะในการพัฒนาโครงการใหม่ใจกลางเมืองตลอดแนวรถไฟฟ้าปีละไม่ต่ำกว่า 4-5 โครงการ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะการเข้าไปเจาะตลาดลูกค้าต่างชาติ เพราะปัจจุบัน ลูกค้าต่างชาติกลายเป็นคีย์สำคัญสำหรับตลาดอสังหาฯไทย และพิสูจน์จากสัดส่วนลูกค้าต่างชาติของบริษัทในปัจจุบันที่ขยับเพิ่มขึ้นจาก 5% ในอดีต มาอยู่ที่ 23% ในช่วงปีที่ผ่านมา และคาดว่าปี 2562 จะแตะที่ระดับ 40% หรือยอดขายประมาณ 4 พันล้านบาท จากเป้ายอดรวมที่ 1 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีน
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ