“แอลพีเอ็น” ประกาศ Q1 กำไรสุทธิ 350 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.32% เหตุบุ๊กรายได้โอนโครงการลุมพินี สวีท เพชรบุรี-มักกะสัน และโครงการลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 76-แบริ่ง สเตชั่น เตรียมเปิดโครงการใหม่ในปีนี้มูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท

          นายโอภาส ศรีพยัคฆ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/2562 LPN มีกำไรสุทธิ 350 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.24 บาท เพิ่มขึ้น 17.33% โดยส่วนใหญ่เป็นการรับรู้รายได้จากโครงการพร้อมอยู่ คือ โครงการลุมพินี สวีท เพชรบุรี-มักกะสัน และเป็นการรับรู้โครงการที่แล้วเสร็จในไตรมาส 1/2562 จำนวน 1 โครงการ คือ ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 76-แบริ่ง สเตชั่น มูลค่า 700 ล้านบาท ส่วนกำไรขั้นต้นจากการขายอยู่ที่ 33.66% เพิ่มขึ้น 4.39% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

          ทั้งนี้ LPN มีรายได้รวม 2,790.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 290.71 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11.63% โดยมีรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้น 10.71%  รายได้ค่าเช่า-บริการเพิ่มขึ้น 44.17%  และรายได้ค่าบริหารเพิ่มขึ้น 16.99% ขณะที่มียอดขายของบริษัทและบริษัทย่อยอยู่ที่ 1,700 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัย ประมาณ 1,100 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัยประมาณ 600 ล้านบาท

          อย่างไรก็ตาม LPN มีค่าใช้จ่ายในการขายที่ 265.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 98.56% มีค่าใช้จ่ายในการขายไม่รวมค่าใช้จ่ายโอนกรรมสิทธิ์ 162.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 355.17% จากค่านายหน้าโครงการลุมพินี สวีท เพชรบุรี-มักกะสัน ที่มีการรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/2562 และมีค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ 259.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.09%

          นายโอภาส กล่าวอีกว่า ในปีนี้ LPN ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 10-15% จากปีก่อน จากการกำหนดกลยุทธ์กระจายฐานรายได้ โดยในส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ LPN ได้เพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการบ้านพักอาศัย เพื่อรองรับการเติบโต ส่วนธุรกิจบริการ LPN ได้ตั้งเป้าขยายรายได้ โดยให้บริการแก่โครงการภายนอก

          ขณะเดียวกันในปี 2562 LPN มีกำหนดเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการอาคารชุดพักอาศัยมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย มูลค่า 8,000 ล้านบาท โดยกำหนดเป้าหมายยอดขายรวม 16,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัย 11,000 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 5,500 ล้านบาท และรับรู้รายได้ 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัย 9,000 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 3,000 ล้านบาท

          ทั้งนี้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 บริษัทและบริษัทย่อยมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่าประมาณ 7,800 ล้านบาท จากโครงการอาคารชุดพักอาศัยและบ้านพักอาศัย โดยจะรับรู้รายได้ปี 2562 จำนวน 7,300 ล้านบาท และปี 2563 ประมาณ 500 ล้านบาท