แลนด์ลอร์ดแห่นำที่ดินร่วมทุน ดึง ไพโรจน์ บิ๊ก แมทซ์ไทมฯ บริหาร
Loading

แลนด์ลอร์ดแห่นำที่ดินร่วมทุน ดึง ไพโรจน์ บิ๊ก แมทซ์ไทมฯ บริหาร

วันที่ : 15 ตุลาคม 2562
ภาษีที่ดินฯมีผลต่อ"แลนด์ลอร์ด" จับตาเร่งนำที่ดินมาพัฒนาโครงการ เพื่อสร้างแวลู ล่าสุด "ไพโรจน์ วัฒนวโรดม" CEO ใหญ่ แมทซ์ไทม์ฯมือโปรอสังหาฯ ร่วมทุนรุกตลาดแนวราบ มูลค่กว่า 2,000 ลบ.ต่อปี เผยเจ้าของที่ปากน้ำ ทำเลฮอต ดึงจอยท์เวนเจอร์บริษัทใหม่ ผุดแบรนด์ใหม่ "นิวบุรี" รับดีมานด์ตลาดแนวราบ
            ภาษีที่ดินฯมีผลต่อ"แลนด์ลอร์ด" จับตาเร่งนำที่ดินมาพัฒนาโครงการ เพื่อสร้างแวลู ล่าสุด "ไพโรจน์ วัฒนวโรดม" CEO ใหญ่ แมทซ์ไทม์ฯมือโปรอสังหาฯ ร่วมทุนรุกตลาดแนวราบ มูลค่กว่า 2,000 ลบ.ต่อปี เผยเจ้าของที่ปากน้ำ ทำเลฮอต ดึงจอยท์เวนเจอร์บริษัทใหม่ ผุดแบรนด์ใหม่ "นิวบุรี" รับดีมานด์ตลาดแนวราบ
            นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม ประธานกรรมการเจ้าหน้าที่และผู้ก่อตั้ง บริษัท แมทซ์ไทม์ พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด กล่าวว่า จากประสบการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 25 ปี บริหารโครงการแบบครบวงจรมากกว่า 100 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล และต่างจังหวัด จึงได้ก่อตั้งบริษัท แมทซ์ไทม์ พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแทนท์ จำกัด ขึ้นมาเมื่อปลายเดือนกันยายน 2561 ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทั้งในรูปแบบของการเป็นที่ปรึกษาโครงการตั้งแต่เริ่มหาที่ดินจนถึงบริหารการขาย และการร่วมทุนกับแลนด์ลอร์ดทำเลต่างๆ ในการพัฒนาโครงการ ระดับราคา 2-3 ล้านบาท
            "มีแลนด์ลอร์ดหลายราย สนใจที่จะนำที่ดินมาร่วมทุนกับตนและพัฒนาร่วมกัน โดยแนวทางการดำเนินธุรกิจ จะพัฒนาโครงการในรูปแบบของการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดินปีละ  3-4 โครงการ มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท"
            นายไพโรจน์ กล่าวว่าล่าสุดได้ร่วมทุนกับแลนด์ลอร์ดที่มีที่ดินสะสมย่านสมุทรปราการเป็นจำนวนมาก ก่อตั้งบริษัท ศศิภัทร เฮ้าส์ จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท โดยทั้ง 2 ฝ่ายถือหุ้น ในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 50:50 นำที่ดิน ย่านบางนา-ตราด กม.31 (ถนนเทพรัตน) พื้นที่ 10 ไร่ ขึ้นมาพัฒนาโครงการทาวน์โฮม ระดับ 5 ดาว ภายใต้แบรนด์ "นิวบุรี" (NEWBURY) ขนาดตั้งแต่ 18-22 ตารางวา ราคา 1.99-2.2 ล้านบาท จำนวน 109 ยูนิต มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาทขึ้นไป คาดสามารถเปิดการขายได้เดือนมิถุนายน 2563
            ทั้งในทำเลดังกล่าวที่ผ่านมามีซัปพลาย  4,000 ยูนิต จาก 15 โครงการ ซึ่งมีทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ รายกลาง และรายเล็ก แต่จากข้อมูลพบว่าทำเลดังกล่าวมีดีมานด์มากเป็นอันดับ 2 ใน 5 ทำเลท็อปฮิต โดยมียอดขายเดือนละ 300-400 ล้านบาท และส่วนใหญ่ปิดการขายภายในระยะเวลา 11 เดือน ดังนั้น จึงมั่นใจว่าโครงการที่จะพัฒนามีดีมานด์รองรับอย่างแน่นอน และบริษัทฯเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า เพราะจะพัฒนาในรูปแบบของบ้านพร้อมอยู่ ที่เน้นในเรื่องของดีไซน์ และโนว์ฮาว จึงเชื่อว่าจะตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี
            "ส่วนเรื่องยอด Reject เราไม่ค่อยหวั่นมากนัก เพราะเราจะสกรีนลูกค้า ร่วมกับสถาบันการเงินด้วย รวมไปถึงลูกค้าที่ซื้อบ้านจะต้องวางเงินจอง 5,000 บาท และเงินทำสัญญา 10,000 บาท ประกอบกับดีมานด์กลุ่มนี้มักจะเป็นเรียลดีมานด์ เชื่อว่าโอกาสที่จะเกิดยอดReject น้อยมาก" นายไพโรจน์ กล่าว
            นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ยังมีเจ้าของที่ดินในทำเลศักยภาพใน จ.ขอนแก่น จำนวนหลายแปลง ได้สนใจที่จะนำ ที่ดินมาร่วมกับตนเพื่อพัฒนาโครงการ แต่ตนมองว่าที่ผ่านมาตลาด อสังหาฯขอนแก่น ค่อนข้างชะลอตัว จึงเปลี่ยนแผนดึงกลุ่มทุนดังกล่าว พัฒนาโครงการใน จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ โครงการ พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) เนื่องจากยังมีอัตราการเติบโตที่สูง ขณะนี้อยู่ในระหว่างการมองหาที่ดินขนาด 10-20 ไร่ เพื่อพัฒนาบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ราคา 2-3 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท/โครงการ
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ