ปลดLTVฟื้นนักลงทุน-คนซื้ออสังหาฯ ไทย-เทศแห่ผุด'คอนโดเทล' รับท่องเที่ยวบูม-แก้ปมโควตาต่างชาติ
Loading

ปลดLTVฟื้นนักลงทุน-คนซื้ออสังหาฯ ไทย-เทศแห่ผุด'คอนโดเทล' รับท่องเที่ยวบูม-แก้ปมโควตาต่างชาติ

วันที่ : 13 มกราคม 2563
ล่วงเลยมาเกือบ 10 เดือน (เม.ย.62-ม.ค.63) หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือเรียกสั้นๆ ว่า มาตรการ LTV เป็นการฉีด "ยาแรง" เข้าสู่ระบบในตลาดที่อยู่อาศัย ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของกลุ่มที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย
          อสังหาริมทรัพย์

          ล่วงเลยมาเกือบ 10 เดือน (เม.ย.62-ม.ค.63) หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือเรียกสั้นๆ ว่า มาตรการ LTV เป็นการฉีด "ยาแรง" เข้าสู่ระบบในตลาดที่อยู่อาศัย ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของกลุ่มที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย กลุ่มนักลงทุน และนักเก็งกำไร โดยธนาคารพาณิชย์ มีความเข้มงวดต่อกลุ่มผู้ซื้อจริงที่มีเจตนาบริสุทธิ์ในการมีบ้านหลังที่ 2 ขณะที่นักลงทุนและกลุ่มนักเก็งกำไร หดตัวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดคอนโดมิเนียม กระทบหนักสุด เนื่องจากที่ผ่านมา มีเรื่องเงินทอน เกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นวงจรอุบาทว์ ที่ทำให้ระบบเกิดบิดเบี้ยว ใช้เงินผิดวัตถุประสงค์และมีเรื่อง "ใต้โต๊ะ" เข้ามาเกี่ยวข้อง!!

          ทั้งนี้ ตลาดหลักของกลุ่มนักลงทุนในโควตา ต่างชาตินั้น ชาวจีนเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่มีสัดส่วนกว่าครึ่งที่เข้ามาลงทุนและซื้อคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ รวมถึงตาม หัวเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา และหัวหิน แต่ด้วยมาตรการของรัฐบาลจีนในการควบคุมการไหลออกของเงินหยวน ประกอบมาตรการ LTV เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และเงินบาทที่แข็งค่าไปกว่า 20% ได้ทำให้ตลาดกลุ่มนักลงทุนและเก็งกำไร หดหายวูบไปกว่า 50% ขณะที่ กำลังซื้อในกลุ่มลูกค้าคนไทย ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตลดลงอย่างต่อเนื่อง

          อย่างไรก็ดี เริ่มมี "ข่าวดี" โดยทาง ธปท.เตรียม จะทบทวนเกณฑ์ LTV แต่ในรายละเอียดยังไม่มีการ เปิดเผยว่า ทาง ธปท.จะปลดล็อกบ้านหลังที่ 2 หรือไม่ แต่แน่นอน มีผลต่อจิตวิทยาให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัย และนักลงทุน

          ปลดล็อก LTV ฟื้นตลาดกลุ่มผู้ซื้อ-นักลงทุน

          นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการ อสังหาฯระดับพรีเมียมเพื่อการลงทุนของไทย และเป็น ผู้ประกอบการที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุดในพัทยา ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ พร้อมกับการนำเสนอบริการที่ "สร้างผลตอบแทน" ให้กับเจ้าของ "สินทรัพย์" ผ่านรูปแบบการรับผลตอบแทนให้กับผู้ซื้อ ที่เป็นเจ้าของในห้องชุดในโครงการคอนโดฯที่บริษัทได้พัฒนาและขายให้กับลูกค้า ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "ผู้จัดการรายวัน360" ว่า หาก ธปท.มีการปลดล็อก เรื่อง LTV ก็จะทำให้บรรยากาศโดยรวมดีขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา กลุ่มที่ซื้อหลังที่ 2 ต้องมีความจำเป็นใน การหาเงินสด 30% ในการซื้อห้องชุด เช่น ห้องชุดราคา 5 ล้านบาท ต้องใช้เงิน 1.5 ล้านบาท เป็นตัวเลขที่สูงมากในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน แต่หาก ธปท.ทบทวนก็จะคงทำให้กลุ่มนักลงทุนจะกลับมาอีกครั้ง เนื่องจากช่วงที่มีการบังคับใช้ LTV ตลาดอสังหาฯชะลอตัวลงอย่างมาก ซึ่งในตลาดอสังหาฯมีกลุ่มเก็งกำไรประมาณ 30% กลุ่มนี้จะหายไปจากตลาดหมดเลย หรือแม้แต่ที่ซื้อระยะยาว ที่ต้องใช้เงินในการซื้ออสังหาฯก็หายไป ตลาดชะลอลงไปเยอะ ในขณะที่เศรษฐกิจโลกก็มีปัญหา ทั้งเรื่องเทรดวอร์ และค่าเงิน

          "ถ้าหลังที่ 2 ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็จะทำให้ลูกค้าจีนที่ซื้อเพื่อการลงทุน หรืออยากจะซื้อเก็งกำไร แต่มีเงินสดไม่เยอะ กลุ่มนี้น่าจะให้ความสนใจที่จะซื้อ อสังหาฯในไทย ซึ่งในมุมดีเวลลอปเปอร์ พอรับทราบข่าว ก็มีการแชร์ข้อมูลกัน บรรยากาศเริ่มดี แต่ทุกคนรอดู LTV ไม่ใช่แห่มาซื้อ เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ความเสี่ยงเรื่องสหรัฐฯกับอิหร่าน จากที่ปีที่ผ่านมา มีเรื่องเงินหยวนอ่อนค่าลง 10-20 เปอร์เซ็นต์ ข่าวร้ายเรื่องเงินบาท ทำให้ต่างชาติใช้เงินมากขึ้นในการซื้อ อสังหาฯ ซึ่งก็ยอมรับว่า บาทแข็งค่าก็ดี แต่อย่าลืมว่า มุมกลับกันดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ ได้กระแสเงินสดจากลูกค้าต่างชาติเยอะมาก โดยเฉพาะจากจีน แต่เมื่อรัฐบาล (จีน) บล็อกเรื่องการเอาเงินออก ซึ่งลูกค้าที่เคยซื้อ คอนโดฯ ในไทยในอดีต ก็พอมีช่องทางในการโอน เงินออก แต่ลูกค้าใหม่ๆ ที่ซื้อ ค่อนข้างหาทางโอนเงิน ออกมาลำบาก รวมถึงมีปัญหาการประท้วงในฮ่องกงอีก ทำให้ภาพภายนอกประเทศ ดูเป็นสีเทาๆ อยู่ "

          ทั้งนี้ เราต้องดูว่า เงินระยะสั้นจากต่างประเทศ ที่เข้ามาพักในไทยส่วนใหญ่ประมาณไม่ถึงปีหรือปีกว่า เริ่มไหลออกไป ก็อาจจะทำให้เงินบาทอ่อนลง สุดท้าย ส่งออกดีขึ้น และเมื่อต่างชาติกลับมาซื้อ ก็ทำให้อสังหาฯ ดีขึ้น ทุกอย่างก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น แต่ตลาดนักลงทุนจะกลับมาหวือหวานั้น คงต้องใช้เวลา อาจจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้น 10 % และ 20%

          "ยาแรงที่เราอยากเห็น ถ้าจะให้สวย ปลด LTV ถ้ารัฐจะทำ ก็ทำให้สุดๆ ไปเลย อย่ากั๊ก อย่าฝนตกไม่ทั่วฟ้า การลงทุนในอสังหาฯ เป็นเรื่องที่ดี เป็นทรัพย์สินที่มี อนาคต คนที่มีบ้านสองหลัง มีบ้านพักตากอากาศ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ภาครัฐกลับไปมองว่า เป็นการเก็งกำไร แต่การไปเล่นหุ้นก็มีขึ้นมีลง แต่อสังหาฯเป็นสินทรัพย์ที่ดี"

          ดีเวลลอปเปอร์อ่อนแรงลงไปเยอะ

          นายชนินทร์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามปล่อยวัคซีนออกมาทีละหลอด ซึ่งก็จะช่วย ภาคอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนอง เรื่องบ้านดีมีดาวน์ เป็นต้น แต่เราต้อง มาดูว่า รัฐจะมองเรื่องธุรกิจเฉพาะด้วยหรือไม่ ตอนนี้ ดีเวลลอปเปอร์อสังหาฯอ่อนแรงไปเยอะ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์รัดเข็มขัด ซัปพลายเชนเป็นหางว่าว ซึ่งรัฐตอนนี้มองผู้บริโภค (BtoC) แต่ในส่วนของผู้ประกอบการ (BtoB) ยังไม่ช่วย ทั้งนี้ หากมีการปลดล็อค LTV จะเป็นการช่วยผู้บริโภค เพราะแบงก์แทบไม่ปล่อยโครงการแนวสูง แต่แนวราบยังปล่อยอยู่ ซึ่งตอนนี้ ผู้ประกอบการยังต้องพึ่งคนซื้อ แต่หากสถาบันการเงินมีการปล่อย สินเชื่อโครงการด้วย จิ๊กซอว์ครบ การกระตุ้นของภาครัฐจะเกิดผลและเห็นภาพที่ชัดเจน และจะเห็นโอกาสเติบโตจากศูนย์เปอร์เซ็นต์ไปเป็นบวกได้

          ตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุนปี 63 ยังเติบโต

          นายชนินทร์ กล่าวถึงการลงทุนอสังหาฯว่า ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะได้ผลตอบแทนทั้งค่าเช่าระยะยาว อีกทั้งส่วนต่างมูลค่าสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากลงทุนในทำเลที่ดี นักลงทุนจึงนิยม ลงทุนในอสังหาฯ เพราะมีความเสี่ยงต่ำ ผู้ประกอบการ รายใหญ่หลายราย หันมาลงทุนโครงการอสังหาฯเพื่อการลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยฮาบิแทท กรุ๊ป นับเป็นผู้นำ แพกเกจรับประกันอัตราผลตอบแทน จากที่บริษัทฯได้ลงทุนพัฒนาโครงการในพัทยาไปแล้วทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 5,500 ล้านบาท คิดเป็นจำนวน 1,624 ยูนิต  โดยเป็นโครงการที่ได้เปิดให้บริการในรูปแบบของโรงแรมแล้วจำนวน 3 แห่งคือ เดอะ วิลล์ จอมเทียน, ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์, ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ และเตรียมเปิดบริการเพิ่มอีก 2 แห่งในปี 2563 คือ บลูเฟียร์ บีดับเบิลยู พรีเมียร์ คอลเล็คชั่น บาย เบสท์ เวสเทิร์น และเบสท์เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา อีกทั้ง การลงทุนสไตล์ Lifestyle Investment เป็นโมเดลที่ตอบโจทย์คนที่มาซื้ออสังหาฯเพื่อการลงทุน สร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องนานถึง 30 ปี จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

          อย่างไรก็ตาม โครงการที่มีจุดขายเรื่องการันตียีลด์นั้น นักลงทุน ต้องอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการรับประกันอัตราผลตอบแทนอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจตรงกันตั้งแต่ตอนซื้อ เช่น อัตราผลตอบแทนที่เสนอมานั้น หักค่าใช้จ่ายการบริหารงานแล้วหรือยัง (ส่วนใหญ่ยัง ไม่หัก), เงื่อนไขในการจ่ายผลตอบแทนเป็นอย่างไร จ่ายทุก 3 เดือน 6 เดือน หรือทุก 1 ปี เงื่อนไขการหักค่าใช้จ่ายด้านภาษี หรือแม้กระทั่งเงื่อนไขการยกเลิกสัญญานำห้องชุดนั้นมาปล่อยเช่า

          มองรถไฟความเร็วสูงไว้อย่างไร

          พัทยามีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราเข้าพัก 70-80% รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และ ท่าเรือ ทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นปีละ 5-7 ล้านคน รวมทั้งนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ มีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อการลงทุนอสังหาฯในรูปแบบที่อยู่อาศัยให้เช่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ ฮาบิแทท จะลงทุนในพื้นที่พัทยาเป็นหลัก มีการเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสอีก 1 โครงการ บนทำเลติดทะเลนาจอมเทียน ประกอบไปด้วย คอนโดฯซื้อเพื่อลงทุนและคอนโดฯซื้อเพื่ออยู่อาศัย และโรงแรมระดับ 5 ดาว มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางภาคตะวันออก เนื่องจากพัทยาได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศไทย (ตัดทิ้งได้)ประกอบกับมีกำลังซื้อทั้งจากนักท่องเที่ยวคนไทย และชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองพัทยา โดยคาดว่าพัทยามีการเติบโตอีกมากใน 5 ปีข้างหน้า ส่วนหนึ่งเกิดจากโครงการ อีอีซี ที่ภาครัฐให้การสนับสนุนและลงทุนในโครงการพื้นฐาน

          สำหรับผลประกอบการในปีนี้ วางเป้ายอดขายไว้ 3,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 62 ที่มียอดขายกว่า 2,000 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมียอดโอน 1,800-2,000 ล้านบาท โดยยอดขายที่เข้ามาจากโครงการวาลเด้น ทองหล่อ 8 และวาลเด้น ทองหล่อ 13 ทั้ง 2 โครงการมียอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 20% และคาดว่าในปีนี้จะเพิ่มยอดขายรวมของ 2 โครงการระดับ 60% และจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงปลายปี 2564 ปัจจุบัน ฮาบิแทท มียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อก)ประมาณ  4,500 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ภายในปี 63 มูลค่า 2,000 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทจะต้องเพิ่มเติมแบ็กล็อกคาดว่าสิ้นปีจะมูลค่าประมาณ 5,000-5,500 ล้านบาท

          การท่องเที่ยวบูม หนุนตลาดปล่อยเช่า

          นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวของไทย ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ปริมาณนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นทุกปี และคาดการณ์ปี 2562 จะสูงถึง 40 ล้านคน มูลค่าการใช้จ่ายที่สูงถึง 2 ล้านล้านบาท โดยตัวเลขล่าสุดในรอบ 11 เดือนปี 62 (ม.ค.-พ.ย.) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย 35.87 ล้านคน เติบโต 4.4% (YOY) จากการฟื้นตัวของนัก ท่องเที่ยวจากจีน โดย 10 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวมาไทย จีน อันดับ 1 จำนวน 10.14 ล้านคน เติบโต 4.6%

          ในปัจจุบันพบว่า นักพัฒนาอสังหาฯในเมืองไทย ทั้งในส่วนของโครงการคอนโดฯหรือวิลล่าตากอากาศ หันมามาเน้นการขายแบบการันตีผลตอบแทน และรูปแบบการขายแบบคอนโดเทล ซึ่งเป็นรูปแบบการคอนโดฯประเภทหนึ่ง ที่มีการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม โดยสามารถปล่อยเช่าระยะสั้นรายวันหรือรายสัปดาห์ได้

          ....ซึ่งกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นกลุ่มต่างชาติที่มีความสำคัญกับตลาดอสังหาฯในไทย ได้แก่ จีน รัสเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น โดยเฉพาะลงทุนในอสังหาฯเมืองท่องเที่ยวต่างๆ เช่น ภูเก็ต, พัทยา, ระยอง, เขาใหญ่ และเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งรูปแบบการขายแบบการันตีผลตอบแทน จากการเช่าและรูปแบบการขายแบบคอนโดเทล จึงเป็น เสมือนแรงกระตุ้นที่สำคัญ ให้กลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่ม นักลงทุนสนใจและซื้อไว้เพื่อการลงทุนเป็นส่วนใหญ่

          คอนโดเทลแก้ปมโควตาต่างชาติ 49%

          นายภัทรชัย คาดการณ์ว่า การขายโครงการใน รูปแบบคอนโดเทล และการขายแบบการการันตีผลตอบแทนจากการเช่า จะเป็นทางรอดตลาดคอนโดมิเนียมเมืองท่องเที่ยวในปี 2563 ที่จะเห็นการพัฒนามากขึ้น ในสภาวะที่ตลาดกำลังซื้อในประเทศซบเซา แต่อย่างไรตาม หากตลาดท่องเที่ยวในประเทศยังคงเติบโต คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญ กระตุ้นความสนใจให้กลุ่มนักลงทุนต่างชาติสนใจ เข้าซื้อหาอสังหาฯในเมืองไทย โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวหลักและกรุงเทพฯ ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยยิลด์ที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในเอเชีย ถึงแม้ค่าเงินบาทยังคงแข็งตัวจะเป็นอีกอุปสรรคที่สำคัญ แต่หากผลตอบแทนที่ยังคุ้มค่า ก็ยังถือว่า ยังมีโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่องในปีนี้

          ปัจจุบันผู้ประกอบการจากญี่ปุ่นจะเข้ามาลงทุน ในไทยมากที่สุด แต่คนจีนจะเป็นกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อ อสังหาฯ ในไทยมากที่สุด ซึ่งชาวจีนและฮ่องกง นิยมซื้อคอนโดฯในพื้นที่กรุงเทพฯและตามเมืองท่องเที่ยวหลักทั่วประเทศเพื่อเป็นที่พัก เก็งกำไรระยะสั่นและระยะยาว รวมถึงปล่อยเช่า เนื่องจากยิลด์จากการปล่อยเช่าสำหรับอสังหาฯในเมืองไทยประมาณ 5-7% ทำให้คอนโดฯใน หัวเมืองท่องเที่ยวเช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ โควตาต่างชาติเต็มเพดาน 49% ทำให้ผู้ประกอบการคอนโดฯต้องปรับวิธีในการสร้างรายได้ ผ่านการทำสัญญาเช่า 30+30+30 เพิ่มขึ้น และช่วง 4-5 ปี มีผู้ประกอบการจากจีน เข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯทั้งโดยตรงและร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทย มูลค่าการลงทุนแล้วกว่า 164,000 ล้านบาท

          อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจากจีนและชาติอื่นๆ มองเรื่องผลตอบแทนที่เข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งการที่ชาวจีนซื้อคอนโดฯ เพราะถูกควบคุมการซื้ออสังหาฯในประเทศ ทำให้ต้องเลือกและมองหาการลงทุน ซึ่งประเทศไทยเปิดกว้าง แต่มีเรื่องน่าห่วง หากผู้ซื้อรู้ว่า ราคาขายและผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า ไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้ประกอบการหรือนายหน้าเสนอ ก็จะเริ่มทิ้งเงินดาวน์ ไม่ยอม โอนกรรมสิทธิ์ หรือหายไปจากตลาดประเทศไทยก็ได้

          คอนโดเทลในภูเก็ต แข่งขันรุนแรง

          สำหรับประเทศไทย ทำเลที่ถือว่ามีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ในเรื่องของการขายอสังหาริมทรัพย์แบบการการันตีผลตอบแทนจากการเช่าและรูปแบบการขายแบบคอนโดเทล โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักๆ เช่น พัทยา ภูเก็ต หัวหิน เป็นต้น ซึ่งเฉพาะภูเก็ตพบว่าในเดือนธ.ค.ปี 62  มีคอนโดฯที่อยู่ระหว่างการขายในจังหวัดภูเก็ต ประมาณ 100 โครงการ 19,767 หน่วย แต่ปรากฏข้อมูลว่า มีคอนโดฯถึง 49 โครงการประมาณ 9,500 ยูนิต หรือคิดเป็น 48% ที่มีการขายแบบการการันตีผลตอบแทนจากการเช่า ซึ่งบางโครงการให้ยิลด์สูงถึง 10% ช่วง 10 ปี เช่น โครงการที่น่าสนใจคือโครงการ New Nordic Water ของกลุ่ม นิว นอร์ดิก กรุ๊ป ผู้ประกอบการรายใหญ่จากพัทยาที่มีโครงการในพัทยากว่า 55 โครงการ มาลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯและโรงแรมในตลาดภูเก็ตเป็นครั้งแรก ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยการเสนอรูปแบบการขายแบบให้การันตีค่าเช่า 10% ถึง 10 ปี นักลงทุนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก

          บริษัท IPA International Property จำกัด ได้เปิดตัวโครงการภายใต้แบรนด์ "ยูโทเปีย" ให้น้ำหนักลงทุนในภูเก็ตหลายทำเล ซึ่งรูปแบบการขายมีความ น่าสนใจ คือ การันตีค่าเช่า 10% ถึง 20 ปี ลูกค้าไม่ต้องจ่ายเงินกองทุนและค่ารีโนเวตห้อง และหากลูกค้ารายใดจ่ายเงินครบ 100% ทางโครงการจะจ่ายเงินการันตีปีแรกทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอโครงการแล้วเสร็จ

          ทั้งนี้ ทำเลที่นิยมเปิดโครงการในภูเก็ต จะอยู่ใกล้ชายหาดหรือติดชายหาดในทำเล กมลา สุรินทร์ บางเบา ในหาญ ราไวย์ ป่าตอง กะตะ กะรน ซึ่งจะทำการขายแบบการันตีค่าเช่ามีทั้ง 5% 3% และ 7% ระยะ 3 ปี เป็นต้น นอกจากนี้ ยังพบว่า มีโครงการคอนโดฯในภูเก็ต อีกกว่า 14 โครงการ หรือกว่า 4,028 ยูนิต หรือคิดเป็น 20% มีการขายแบบ Hotel Residences with Mandatory Rental Program

          "ทางวิจัยฯคาดว่า ทั้งรูปแบบการขายแบบการันตีผลตอบแทนการเช่า และการจ้างเชนมาบริหารโครงการ จะเป็นอีกหนึ่งทางรอดให้กับโครงการคอนโดฯในเมืองท่องเที่ยว ซึ่งจะเห็นว่าโควตาต่างชาติเต็มเพดานตามกฎหมาย ขณะที่อีก 51 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นลูกค้าคนไทย หากสามารถกระตุ้นให้กลับมาซื้อ ผ่านผลตอบแทนที่น่าจูงใจ จะช่วยให้ตลาดมีความคึกคักมากขึ้น"

          จากข้อมูลพบว่า ภูเก็ต พัทยา และ เกาะสมุย เป็นทำเลที่มีการขายอสังหาริมทรัพย์แบบการันตีผลตอบแทนจากการเช่าสูงที่สุด ถึง 10% ซึ่งพบว่าบางผู้ประกอบการให้ผลตอบแทนจากการเช่าสูงถึง 10% ถึง 20 ปี รองลงมาคือพื้นที่อื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดอยู่ที่ 7-8% ซึ่งถือ ว่าเป็นผลตอบแทนจากการเช่าที่ค่อนข้างสูงเป็นอย่างมาก.
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ