โนเบิล สวนตลาดอสังหาฯทรุดผนึก ยูซิตี้-ฮ่องกงแลนด์ ลุยลงทุน
Loading

โนเบิล สวนตลาดอสังหาฯทรุดผนึก ยูซิตี้-ฮ่องกงแลนด์ ลุยลงทุน

วันที่ : 21 มกราคม 2563
โนเบิล ไม่หวั่นอสังหาฯ ชะลอตัว ผนึกยูซิตี้ - ฮ่องกงแลนด์ ลุยลงทุน สปีดเปิดตัวปีนี้ 7 โครงการ มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท ดันยอดขายโตกว่า 1.2 หมื่นล้าน พร้อมทุ่มงบ1,000 ล้านบาทซื้อตึกลอนดอนขาย คาด 3 ปียอดขายติดท็อปไฟว์
        โนเบิล ไม่หวั่นอสังหาฯ ชะลอตัว ผนึกยูซิตี้ - ฮ่องกงแลนด์ ลุยลงทุน สปีดเปิดตัวปีนี้ 7 โครงการ มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท ดันยอดขายโตกว่า 1.2 หมื่นล้าน พร้อมทุ่มงบ1,000 ล้านบาทซื้อตึกลอนดอนขาย คาด 3 ปียอดขายติดท็อปไฟว์
        นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และกรรมการผู้จัดการ บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯ ในปี2563 ยังคงชะลอตัว แต่บริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบ มากนัก เนื่องจากบริษัทได้ขยายความ ร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง โดยล่าสุดได้การร่วมทุนระหว่างบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน)ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เพื่อลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย
        โดยจัดตั้ง บริษัท รัชดา อัลไลแอนซ์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยทุนจดทะเบียน50ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 50:50 ซึ่งเปิดตัวคอนโดภายใต้แบรนด์ "นิว" (Nue) ซึ่งเป็นโครงแรกในการร่วมทุน บนทำเลรัชดา-ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ2,000 ล้านบาทในไตรมาสสองปีนี้ อนาคตจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกัน ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า และสนามบิน อู่ตะเภาต่อไปเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
        ขณะเดียวกัน ได้ร่วมทุนกับกลุ่มฮ่องกงแลนด์ เพื่อพัฒนาที่ดินบนถนนวิทยุ บนพื้นที่ 3 ไร่เพื่อพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่ระดับ ซูเปอร์ลักชัวรี่โดยจะมีพื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 60,000 ตารางเมตรหรือคิดเป็นมูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวกลุ่มฮ่องกงแลนด์ เป็นผู้ดำเนินการ ถือหุ้น74% โนเบิลถือหุ้น 26%เมื่อพัฒนาแล้วเสร็จจะเป็นการเพิ่มเติมส่วนที่พักอาศัยที่เป็นลักษณะการขายขาด (Freehold) เป็นต้น
        "แนวทางการทำธุกิจจะเน้นการทำงานที่สร้างโอกาสในการขยายตลาด และฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจากความร่วมมือ กับพันธมิตร ในการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมเป็นหลัก เนื่องจากมีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ จึงไม่จำเป็นต้องทำตลาดแนวราบเหมือนกับผู้ประกอบการรายอื่น"
        นายธงชัย กล่าวว่า ปี 2563 ถือเป็นก้าวสำคัญ ของโนเบิลในการต่อยอดความสำเร็จในปีที่ผ่านมาที่มียอดรายได้สูงกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ30 ปี ส่งผลให้โนเบิล ก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 10 ผู้นำในตลาดอสังหาฯ ดังนั้น จึงเตรียมเปิดตัว 7 โครงการ ซึ่งประกอบด้วย 1.โครงการ โนเบิล ร่วมฤดี มูลค่า1,020 ล้านบาท 2.โครงการ โนเบิล สเตท 39 มูลค่า 3,663 ล้านบาท 3.โครงการ นิวในทำเลงามวงศ์วาน มูลค่า 2,023 ล้านบาท
        4.โครงการบนถนนพรานนก มูลค่า1,200 ล้านบาท 5.โครงการในทำเลทองหล่อ 18 มูลค่า 5,300 ล้านบาท 6.โครงการบนถนนวิทยุ มูลค่า10,000 ล้านบาท และ 7. โครงการ "นิว"( Nue) ซึ่งเป็นโครงแรกในการร่วมทุน บนทำเลรัชดา-ลาดพร้าว มูลค่า 2,000 ล้านบาท และมีแคมเปญต่อเนื่องตลอดทั้งปีเพื่อรุกตลาดคอนโดมิเนียมครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่ระดับราคาที่จับต้องได้ 1 แสนกว่าบาทต่อตร.ม.ไปจนถึงระดับ ไฮเอนด์รวมมูลค่า 25,000 ล้านบาท
        คาดว่า สิ้นปี ยอดขายโตกว่า 12,000ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากตลาดต่างประเทศ ประมาณ 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อนที่ทำได้ 3,500 ล้านบาท ล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในช่วง 2-3 ปีจากนี้ (2563-2565) คาดว่า 3ปีจากนี้ ยอดขายติดท็อปไฟว์ในตลาดหลักทรัพย์
        "ปีนี้ เศรษฐกิจไม่ดีต้องระมัดระวังตัว แง่การทำตลาดทำเซกเมนต์ขายง่ายขึ้น ขยายตลาดต่างประเทศ ด้วยการลงทุน ซื้อตึก สร้างเสร็จแล้วมาขายให้กับกลุ่มที่สนใจ จีน ฮ่องกง คนไทย ที่ต้องการลงทุนซื้อคอนโด ในลอนดอน คาดว่าใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาท ในช่วงค่าเงินบาทแข็งค่า สถานการณ์เบร็กซิท ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง คาดว่าเห็นสิ้นปีนี้ "
        นายแฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง รองประธาน กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม โนเบิลฯ กล่าวว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายจากตลาดต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 3,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 50% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2562 เป็น 7,000 ล้านบาทในปี 2563
        ซึ่งปัจจุบันนี้บริษัทฯ ครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 18% ของส่วนแบ่งตลาดต่างประเทศ ในช่วงราคา 80,000 - 250,000 บาทต่อตร.ม. ซึ่งเป็นระดับราคาขายที่ทางโนเบิลทำการตลาด อยู่ หรือประมาณทุก 1 ใน 5 ยูนิตของคอนโดที่ขายไปยังชาวต่างชาติทั้งหมดในกรุงเทพฯ ประกอบด้วย ลูกค้าหลักจากต่างประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งบริษัทฯ  มีเครือข่ายที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้ากว่า 470 ช่องทาง โดยเฉพาะในประเทศจีนซึ่งถือเป็นตลาดหลัก ที่บริษัทฯ สามารถขยายฐานการตลาดครอบคลุมได้กว่า 21 เมือง
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ