นริศ เชยกลิ่น เปิดสูตร สิงห์เอสเตท รับมือ โควิด
วันที่ : 23 มีนาคม 2563
สิงห์เอสเตท เปิดตำรา รับมือ โควิด 19
บุษกร ภู่แส
ตลอดระยะเวลา5ที่ผ่านมาของ "สิงห์ เอสเตท" บริษัทลูกในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ หรือค่ายเบียร์สิงห์ ที่ได้มีมืออาชีพอย่าง "นริศ เชยกลิ่น" อดีตผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มซีพีเอ็น (เซ็นทรัลพัฒนา) เข้ามา บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เริ่มจากการเข้าซื้อกิจการของรสา พร็อพเพอร์ตี้ ก่อนจะ เปลี่ยนชื่อมาเป็น สิงห์ เอสเตท พร้อมกับปักหมุดว่า จะเป็น " โกลบอล โฮลดิ้งส์ คอมปะนี" ด้วยการซื้อกิจการ โรงแรม เพื่อเป็นเรือธงในการสร้างรายได้ โดยเฉพาะโรงแรมในยุโรป พร้อมกับการลงทุนอสังหาฯเพื่อขาย อสังหาฯเพื่อเช่า ล่าสุดมีแผนจะขยายมาไปสู่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน
โดยตั้งเป้าหมายว่า ภายในระยะ 5 ปีจากนี้จะมีรายได้ 30,000 ล้านบาท หลังจากประกาศแผนไปเมื่อวัน 30ม.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 กลับแพร่ระบาดและลุกลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เหนือความคาดหมาย
นริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า วิกฤติครั้งนี้เทียบกับวิกฤติปี2540 (ต้มยำกุ้ง) คนละแบบ ตอนปี2540 จะเห็นความเสียหายเยอะมากและเห็น เป็นรูปธรรม แต่ความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติครั้งนี้ยังไม่เป็นรูปธรรมชัด และประเมินยากว่าจะมันจบเมื่อไร แต่ผลกระทบ เป็นวงกว้างกว่าวิกฤติครั้งที่แล้ว
วิกฤติปี2540 จะกระจุกตัวในแวดวงการเงินส่วนใหญ่ แล้วค่อยมีผลกระทบไปที่คนตกงานบ้างอะไรบ้าง แต่ก็อยู่ในภาคการเงินเป็นหลักแต่วิกฤติคราวนี้ขยายวงกว้าง ไปกระทบที่กำลังซื้อ กระทบระบบสาธารณสุข ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะจบเมื่อไรเนี่ย คือสิ่งที่แย่
จากประสบการณ์สายการเงิน "นริศ" บอกว่า สิงห์เอสเตท ได้ทำแบบจำลองการรับมือในทุกสถานการณ์ โดยมีการจำลองสถานการณ์กรณีที่เลวร้าย ที่สุดว่า หากสถานการณ์ลากยาวไป 9 เดือนจะเกิดอะไรขึ้น เตรียมรับมือเรียบร้อยแล้วไม่ว่าจะเป็นกระแสเงินสด (Cash Flow) ก็ได้เตรียมไว้แล้ว
โดยบางธุรกิจในเครือ ได้พูดคุยกับธนาคารและได้ปรับเปลี่ยนตัวเลขการชำระคืน รอดูอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นเรื่องปกติในภาวะวิกฤติทางสถาบันการเงินเห็นใจ และให้ความร่วมมือเพื่อให้เราผ่านวิกฤติไปด้วยกันได้
นริศ กล่าวว่า กรณีที่เลวร้ายที่สุด (worst case) คาดว่าใช้เวลาถึง 10 เดือนถึงสิ้นปี 2563 ในธุรกิจโรงแรมทั้งพอร์ตเฉลี่ยอัตราการเข้าพักประมาณ 50% จากปกติ 80% เราหวังว่าในไตรมาส 4 สถานการณ์น่าจะกลับมาดีขึ้น แต่ในไตรมาส2 จะแย่และ3 จะดีขึ้น ในส่วนของที่อยู่อาศัยก็ปรับตัวเลขลงทั้งยอดขายพรีเซล ยอดโอน ปัจจุบันได้รับผลกระทบน่าจะต้องปรับ 20% ซึ่ง ไม่ใช่ เป้าหมายเดิมแล้วแต่ถ้าสถานการณ์แย่ลงลากยาวถึงปลายปี ต้องปรับถึง 40%
ส่วนตลาดออฟฟิศดูเหมือนจะดีกว่าธุรกิจอื่น ยังไม่ต้องให้ส่วนลดมากนัก แต่ต้องดูแลลูกค้าเป็นรายๆไป ถือว่า ยังได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดอื่นแต่ว่าจากการที่มีมาตรการทำงานที่บ้าน (Work From Home) ที่เกิดจากวิกฤติครั้งนี้ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับตลาดออฟฟิศในอนาคตว่า จะทำให้คนเริ่มทำงานที่บ้านมากขึ้นจะมีผลต่อการลดการใช้พื้นที่เช่าในอนาคต รวมถึงโคเวิร์คกิ้งสเปซ อาจจะได้รับผลกระทบในช่วงนี้เพราะคนต้องการโคเวิร์คกิ้งแบบมีระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ซึ่งหากไปอยู่ร่วมกันอาจผิดหลักการที่รัฐบาลขอความร่วมมือ
สำหรับแนวทางการบริหารงาน ในช่วงนี้ นริศ ระบุว่า ขณะนี้อยู่ในโหมดของการประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะในแง่ของ รายได้ในธุรกิจที่อยู่อาศัย "ชะลอ" ตัวขายได้ช้าลง ส่วนธุรกิจโรงแรมเริ่มได้รับผลกระทบ แล้ว เมื่อยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงพุ่งสูง ขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปที่กลายเป็นพื้นที่ระบาดแห่งใหม่จนต้อง ปิดประเทศ
ขณะที่โรงแรมที่ภูเก็ต พีพี เริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดประเทศยุโรป เพราะมีกลุ่มลูกค้ายุโรปจำนวนมาก ซึ่งหากเทียบไตรมาสนี้ ซึ่งเป็นไฮซีซันเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วต่ำกว่า โดยเฉพาะเดือนมี.ค.ต่ำกว่าถึง50% แต่เฉลี่ย ไตรมาสแรก ประมาณ70% เพราะเดือน ม.ค. และก.พ. ยังดี แต่ในไตรมาสสองไม่อยากจะนึกถึงเลย เพราะพอร์ตโรงแรมน่าจะได้รับผลกระทบเยอะ
"เราเข้าสู่โหมดประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ งบการทำตลาด งบบุคลากรลดลง ทั้ง ผู้บริหารและพนักงานช่วยกันลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น สวัสดิการลงด้วยความสมัครใจ คณะกรรมการตัดค่าตอบแทนลง ส่วนสวัสดิการผู้บริหาร เช่น ค่าน้ำรถต่อเดือนตัดออกไป3 เดือนก่อนรอดูว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อหรือไม่ โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนเม.ย.-มิ.ย.นี้"
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้ นริศ ยอมรับว่า เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าเทคโอเวอร์โรงแรม ที่มีปัญหา สายป่าน ไม่ยาวมีจำนวนพอสมควรซึ่งเริ่มมีสัญญาณออกมาบ้างแล้ว โดยมีผู้ที่แสดงความประสงค์ที่จะขายอยู่ในหลายแห่ง ทั้งในยุโรป เอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีหลังจากที่ทำไอพีโอ ทำให้บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) มีโอกาสที่จะไปลงทุนเยอะ เพราะได้รับ ผลกระทบน้อยกว่าคนอื่น เนื่องจากมีโรงแรมในฟิจิ มัลดีฟส์ และมอริเชียส
"ช่วงนี้ถ้ามีของถูกมานำเสนอยังมีอารมณ์ซื้อ ไม่ว่าจะเป็นตึก เป็นที่ดิน ขอให้มาเถอะ ซึ่งมีคนมานำเสนอเราทยอย ซื้อที่ บางที่กลับมาให้ส่วนลดเยอะ 30-40% ถ้าเป็นทำเลดีมากก็ซื้อ นอกจากนี้ยังมีโรงแรมด้วย เริ่มต้นจากให้ส่วนลด 10-20% แต่อันไหนที่เราคิดว่าจะลงได้อีกก็ยัง ไม่ซื้อขอให้ถูกจริง ดีจริงเราพร้อมซื้อ เพราะยังพอมีกำลังที่ซื้อได้อยู่"
ช่วงนี้เป็นโอกาสดีในการเทคโอเวอร์โรงแรมที่มีปัญหา โดยมีผู้ต้องการจะขายอยู่ในหลายแห่ง ทั้งในยุโรป และเอเชียแปซิฟิก
ตลอดระยะเวลา5ที่ผ่านมาของ "สิงห์ เอสเตท" บริษัทลูกในเครือบุญรอดบริวเวอรี่ หรือค่ายเบียร์สิงห์ ที่ได้มีมืออาชีพอย่าง "นริศ เชยกลิ่น" อดีตผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มซีพีเอ็น (เซ็นทรัลพัฒนา) เข้ามา บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เริ่มจากการเข้าซื้อกิจการของรสา พร็อพเพอร์ตี้ ก่อนจะ เปลี่ยนชื่อมาเป็น สิงห์ เอสเตท พร้อมกับปักหมุดว่า จะเป็น " โกลบอล โฮลดิ้งส์ คอมปะนี" ด้วยการซื้อกิจการ โรงแรม เพื่อเป็นเรือธงในการสร้างรายได้ โดยเฉพาะโรงแรมในยุโรป พร้อมกับการลงทุนอสังหาฯเพื่อขาย อสังหาฯเพื่อเช่า ล่าสุดมีแผนจะขยายมาไปสู่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน
โดยตั้งเป้าหมายว่า ภายในระยะ 5 ปีจากนี้จะมีรายได้ 30,000 ล้านบาท หลังจากประกาศแผนไปเมื่อวัน 30ม.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 กลับแพร่ระบาดและลุกลามไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เหนือความคาดหมาย
นริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า วิกฤติครั้งนี้เทียบกับวิกฤติปี2540 (ต้มยำกุ้ง) คนละแบบ ตอนปี2540 จะเห็นความเสียหายเยอะมากและเห็น เป็นรูปธรรม แต่ความเสียหายที่เกิดจากวิกฤติครั้งนี้ยังไม่เป็นรูปธรรมชัด และประเมินยากว่าจะมันจบเมื่อไร แต่ผลกระทบ เป็นวงกว้างกว่าวิกฤติครั้งที่แล้ว
วิกฤติปี2540 จะกระจุกตัวในแวดวงการเงินส่วนใหญ่ แล้วค่อยมีผลกระทบไปที่คนตกงานบ้างอะไรบ้าง แต่ก็อยู่ในภาคการเงินเป็นหลักแต่วิกฤติคราวนี้ขยายวงกว้าง ไปกระทบที่กำลังซื้อ กระทบระบบสาธารณสุข ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะจบเมื่อไรเนี่ย คือสิ่งที่แย่
จากประสบการณ์สายการเงิน "นริศ" บอกว่า สิงห์เอสเตท ได้ทำแบบจำลองการรับมือในทุกสถานการณ์ โดยมีการจำลองสถานการณ์กรณีที่เลวร้าย ที่สุดว่า หากสถานการณ์ลากยาวไป 9 เดือนจะเกิดอะไรขึ้น เตรียมรับมือเรียบร้อยแล้วไม่ว่าจะเป็นกระแสเงินสด (Cash Flow) ก็ได้เตรียมไว้แล้ว
โดยบางธุรกิจในเครือ ได้พูดคุยกับธนาคารและได้ปรับเปลี่ยนตัวเลขการชำระคืน รอดูอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นเรื่องปกติในภาวะวิกฤติทางสถาบันการเงินเห็นใจ และให้ความร่วมมือเพื่อให้เราผ่านวิกฤติไปด้วยกันได้
นริศ กล่าวว่า กรณีที่เลวร้ายที่สุด (worst case) คาดว่าใช้เวลาถึง 10 เดือนถึงสิ้นปี 2563 ในธุรกิจโรงแรมทั้งพอร์ตเฉลี่ยอัตราการเข้าพักประมาณ 50% จากปกติ 80% เราหวังว่าในไตรมาส 4 สถานการณ์น่าจะกลับมาดีขึ้น แต่ในไตรมาส2 จะแย่และ3 จะดีขึ้น ในส่วนของที่อยู่อาศัยก็ปรับตัวเลขลงทั้งยอดขายพรีเซล ยอดโอน ปัจจุบันได้รับผลกระทบน่าจะต้องปรับ 20% ซึ่ง ไม่ใช่ เป้าหมายเดิมแล้วแต่ถ้าสถานการณ์แย่ลงลากยาวถึงปลายปี ต้องปรับถึง 40%
ส่วนตลาดออฟฟิศดูเหมือนจะดีกว่าธุรกิจอื่น ยังไม่ต้องให้ส่วนลดมากนัก แต่ต้องดูแลลูกค้าเป็นรายๆไป ถือว่า ยังได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดอื่นแต่ว่าจากการที่มีมาตรการทำงานที่บ้าน (Work From Home) ที่เกิดจากวิกฤติครั้งนี้ อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำหรับตลาดออฟฟิศในอนาคตว่า จะทำให้คนเริ่มทำงานที่บ้านมากขึ้นจะมีผลต่อการลดการใช้พื้นที่เช่าในอนาคต รวมถึงโคเวิร์คกิ้งสเปซ อาจจะได้รับผลกระทบในช่วงนี้เพราะคนต้องการโคเวิร์คกิ้งแบบมีระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ซึ่งหากไปอยู่ร่วมกันอาจผิดหลักการที่รัฐบาลขอความร่วมมือ
สำหรับแนวทางการบริหารงาน ในช่วงนี้ นริศ ระบุว่า ขณะนี้อยู่ในโหมดของการประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะในแง่ของ รายได้ในธุรกิจที่อยู่อาศัย "ชะลอ" ตัวขายได้ช้าลง ส่วนธุรกิจโรงแรมเริ่มได้รับผลกระทบ แล้ว เมื่อยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยังคงพุ่งสูง ขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปที่กลายเป็นพื้นที่ระบาดแห่งใหม่จนต้อง ปิดประเทศ
ขณะที่โรงแรมที่ภูเก็ต พีพี เริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดประเทศยุโรป เพราะมีกลุ่มลูกค้ายุโรปจำนวนมาก ซึ่งหากเทียบไตรมาสนี้ ซึ่งเป็นไฮซีซันเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วต่ำกว่า โดยเฉพาะเดือนมี.ค.ต่ำกว่าถึง50% แต่เฉลี่ย ไตรมาสแรก ประมาณ70% เพราะเดือน ม.ค. และก.พ. ยังดี แต่ในไตรมาสสองไม่อยากจะนึกถึงเลย เพราะพอร์ตโรงแรมน่าจะได้รับผลกระทบเยอะ
"เราเข้าสู่โหมดประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ งบการทำตลาด งบบุคลากรลดลง ทั้ง ผู้บริหารและพนักงานช่วยกันลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น สวัสดิการลงด้วยความสมัครใจ คณะกรรมการตัดค่าตอบแทนลง ส่วนสวัสดิการผู้บริหาร เช่น ค่าน้ำรถต่อเดือนตัดออกไป3 เดือนก่อนรอดูว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อหรือไม่ โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนเม.ย.-มิ.ย.นี้"
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้ นริศ ยอมรับว่า เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าเทคโอเวอร์โรงแรม ที่มีปัญหา สายป่าน ไม่ยาวมีจำนวนพอสมควรซึ่งเริ่มมีสัญญาณออกมาบ้างแล้ว โดยมีผู้ที่แสดงความประสงค์ที่จะขายอยู่ในหลายแห่ง ทั้งในยุโรป เอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีหลังจากที่ทำไอพีโอ ทำให้บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) มีโอกาสที่จะไปลงทุนเยอะ เพราะได้รับ ผลกระทบน้อยกว่าคนอื่น เนื่องจากมีโรงแรมในฟิจิ มัลดีฟส์ และมอริเชียส
"ช่วงนี้ถ้ามีของถูกมานำเสนอยังมีอารมณ์ซื้อ ไม่ว่าจะเป็นตึก เป็นที่ดิน ขอให้มาเถอะ ซึ่งมีคนมานำเสนอเราทยอย ซื้อที่ บางที่กลับมาให้ส่วนลดเยอะ 30-40% ถ้าเป็นทำเลดีมากก็ซื้อ นอกจากนี้ยังมีโรงแรมด้วย เริ่มต้นจากให้ส่วนลด 10-20% แต่อันไหนที่เราคิดว่าจะลงได้อีกก็ยัง ไม่ซื้อขอให้ถูกจริง ดีจริงเราพร้อมซื้อ เพราะยังพอมีกำลังที่ซื้อได้อยู่"
ช่วงนี้เป็นโอกาสดีในการเทคโอเวอร์โรงแรมที่มีปัญหา โดยมีผู้ต้องการจะขายอยู่ในหลายแห่ง ทั้งในยุโรป และเอเชียแปซิฟิก
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ