LALIN คุมต้นทุนอัพมาร์จิ้น ลุยเปิดโครงการปั๊มยอดขาย
Loading

LALIN คุมต้นทุนอัพมาร์จิ้น ลุยเปิดโครงการปั๊มยอดขาย

วันที่ : 27 พฤษภาคม 2565
ในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายเปิดโครงการทั้งสิ้น 10-12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท
          LALIN ทิศทางไตรมาส 2/2565 เดินหน้ารับรู้รายได้ต่อเนื่อง เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มไตรมาส 2-3 อีก 4 โครงการ มูลค่า 3,400 ล้านบาท คงเป้ายอดขายปี 2565 โต 8,500 ล้านบาท และยอดโอน 7,200 ล้านบาท ด้านค่าก่อสร้างปรับขึ้นสูงยันไม่กระทบจากการล็อกราคาวัสดุทั้งปี แถมคุมเข้มต้นทุนอัพมาร์จิ้น มั่นใจบริหารจัดการได้

          นายเสรี สินธุอัสว์ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้ายอดขายปี 2565 ไว้ที่ 8,500 ล้านบาท และยอดโอนจำนวน 7,200 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตจากปีก่อนประมาณ 10% ด้านแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2565 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากไตรมาส 1/2565 และเทียบจากปีช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นเดียวกัน

          โดยไตรมาสที่ 1/2565 บริษัทสามารถทำยอดรับรู้รายได้ที่ 1,586 ล้านบาท ขยายตัว 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งยังคงความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดีในสภาวะที่เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นทั่วโลก โดยมีกำไรสุทธิที่ 328 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3%

          ทยอยเปิดโครงการ

          ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปจำนวน 5 โครงการ แบ่งออกเป็นโครงการทาวน์โฮม 2 โครงการ และโครงการบ้านเดี่ยว - บ้านแฝด 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,520 ล้านบาท ซึ่งบริษัทเตรียมจะเปิดโครงการใหม่อีกจำนวน 4 โครงการ มูลค่า 3,400 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดในช่วงปลายไตรมาส 2 ถึงไตรมาสที่ 3/2565 คาดว่าภายในปี 2565 บริษัทจะสามารถเปิดโครงการทั้งหมดได้ราว 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท

          สำหรับในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าหมายเปิดโครงการทั้งสิ้น 10-12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยเปิดเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปี และนอกจากนี้บริษัทมีโครงการที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นปีไตรมาสที่ 1/2565 ราว 1,400 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ของปีนี้

          ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้กระจายกลุ่มราคาบ้านให้มีความครอบคลุม ตลาด จากเดิมที่บริษัทจะมีบ้านทาวน์โฮม 2-2.5 ล้านบาท และล่าสุดได้เพิ่มแบรนด์ ไลโอ เพรสทีจ ซึ่งเป็นทาวน์โฮม ระดับพรีเมียม ซึ่งมีราคาประมาณ 2.5-3 ล้านบาท และมีบ้านเดี่ยวที่ระดับราคาตั้งแต่ 3-6 ล้านบาท, 5-8 ล้านบาท และ 8-12 ล้านบาท

          คุมต้นทุนก่อสร้าง

          สำหรับต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นบริษัทได้พยายามบริหารจัดการต้นทุนต่อเนื่องมาโดยตลอดจากการล็อกราคาวัสดุก่อสร้างทั้งปี และต้นทุนเหล็ก รวมถึงบริหารจัดการต้นทุนอื่นๆ ซึ่งทำให้อัตรากำไรอยู่ในระดับสูงมาโดยตลอด ส่วนการขยับราคาขาย ก็ต้องพิจารณาตามพื้นที่เป็นทำเลที่เหมาะสม แต่บริษัทยังไม่ได้มีการปรับราคาขายเหมือนผู้ประกอบการ อสังหารายอื่น เนื่องจากสามารถบริหารต้นทุนได้เป็นอย่างดี

          ปัจจุบันสินค้าคงเหลือของบริษัทอยู่ที่ 9,986.1 ล้านบาท ลดลงจากช่วงสิ้นปี 2564 ประมาณ 1% ส่งผลให้ภาพรวมสินทรัพย์ของบริษัทในช่วง ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/2565 อยู่ที่ 13,619.5 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีการบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงิน ก่อนหน้าช่วงก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก บริษัทได้มีการออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี เพื่อล็อกต้นทุนดอกเบี้ยไปแล้วจำนวน 500 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ 3.2% โดยบริษัทมีการบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างรัดกุม มีการใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย รวมถึงมีวงเงินสำรองที่ยังไม่เบิกใช้อีกจำนวนมาก

          และบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ณ สิ้นไตรมาส 1ปี 2565 เพียง 0.59 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อยู่ราว 1.4 เท่า นอกจากนี้หากพิจารณาที่ตัวอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E Ratio) จะอยู่ในระดับ 0.21 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน และความพร้อมในการขยายธุรกิจโดยไม่ติดปัญหาสภาพคล่องได้เป็นอย่างดี
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ