เผยเทรนด์ WELL-BEING ตอบโจทย์คนมีบ้านใหม่ ส่องพฤติกรรม3เจนเน้นความปลอดภัย-นวัตกรรม
วันที่ : 9 ธันวาคม 2565
TERRABKK กล่าวว่า สิ่งที่เราต้องการสื่อสาร อยากให้ทำความเข้าใจผู้บริโภคใหม่ เราเห็นว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปตามดิจิทัล เปลี่ยนแปลงแบบ Realtime ลูกค้าปีที่แล้วกับปีนี้ เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ตอนนี้ คนซื้อไม่ใช่ซื้อบ้านครั้งแรกในชีวิต แต่เป็นกลุ่มที่มีที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว สัดส่วน 36% และมีแผนจะซื้อบ้านภายใน 2 ปี สัดส่วน 30%
TERRABKK เผยเทรนด์สร้างความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) ตอบโจทย์คนอยาก มีบ้านใหม่ เผยพฤติกรรมผู้ซื้อเปลี่ยนแปลงแบบ Realtime อิงผลสำรวจ พบ ต้องการซื้อบ้านเดี่ยว เพื่อมีสังคมที่ดี วางงบซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคา 3-5 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญตัดสินใจซื้อบ้านและคอนโดฯ ต้องครบทั้งระบบรักษาความปลอดภัยเยี่ยม เพิ่มนวัตกรรม Smart Home ที่ชาร์ต EV ราคา และเพิ่มพื้นที่สีเขียว ชำแหละพฤติกรรม Gen Z ต้องการบ้านหลังแรก Gen Y มองหาบ้านหลังที่ 2 กลุ่ม Baby Boomer เริ่มขยับมองและซื้อคอนโดฯ เหตุมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม
น.ส.สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด เผยผลวิจัย The Most Powerful Real Estate Brand 2022 และผลวิจัยเจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคตามแนวคิด "GOOD HEALTH AND WELL-BEING" โดยเก็บข้อมูลแบบออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 84% จาก 1,000 ตัวอย่าง มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัย โดยกว่า 44% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าจะซื้อบ้านเดี่ยว และ 29% คาดว่าจะซื้อคอนโดมิเนียม โดยวางงบซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคา 3-5 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมาจาก 3 ปัจจัย คือ 1.ระบบรักษาความปลอดภัยของโครงการ ต้องการเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัย 2. บริการหลังการขาย และ 3. สังคมเพื่อนบ้านที่ดี ต้องมีความสุขกายสบายใจ การมีที่อยู่อาศัย คือ มีสภาพแวดล้อมที่ดี ต้องมีการออกแบบการอยู่อาศัยให้กับผู้ซื้อ เป็นต้น
"สิ่งที่เราต้องการสื่อสาร อยากให้ทำความเข้าใจผู้บริโภคใหม่ เราเห็นว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปตามดิจิทัล เปลี่ยนแปลงแบบ Realtime ลูกค้าปีที่แล้วกับปีนี้ เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ตอนนี้ คนซื้อไม่ใช่ซื้อบ้านครั้งแรกในชีวิต แต่เป็นกลุ่มที่มีที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว สัดส่วน 36% และมีแผนจะซื้อบ้านภายใน 2 ปี สัดส่วน 30% มองบ้านเดี่ยว คอนโดฯ ราคา 3-5 ล้านบาท ฐานที่เก็บรายได้ใหญ่สุดประมาณ 35,000-50,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ ในการสำรวจ ยังได้รวมกลุ่มผู้มีรายได้ตั้งแต่ 9,000 บาทไปจนถึง 15,000 บาทเข้ามาด้วย เนื่องจากเราพบว่า ที่อยู่อาศัยระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทมีแนวโน้มเติบโตได้อยู่"
สำหรับที่อยู่อาศัยระดับราคา 3-7 ล้านบาท (Mass) ในกลุ่มบ้านแนวราบทำเลที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก คือ รังสิต-ลำลูกกา ,บางใหญ่-บางบัวทอง, และบางพลี ขณะที่ ทำเลอยู่อาศัยในกลุ่มคอนโดฯที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก คือ จตุจักร-ประชาชื่น, อ่อนนุช-บางนา และพญาไท-อารีย์
สำหรับที่อยู่อาศัยระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท (Economy) ในกลุ่มบ้านแนวราบ ทำเลนิยม 3 อันดับแรก คือ ประชาชื่น-รัตนาธิเบศร์, ดอนเมือง-ปากเกร็ด และ คลองหลวง และทำเลในกลุ่มคอนโดฯ 3 อันดับแรก คือ รังสิต-ลำลูกกา, บางซื่อวงศ์สว่าง, บางใหญ่ และบางพลี
โดยปัจจัยสำคัญในการซื้อบ้านหรือคอนโดฯ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัย, บริการหลังการขายที่ดี, สังคมเพื่อนบ้านดี, วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างและราคา
เมื่อเจาะลึกลงถึงความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่มบ้านแนวราบ พบว่า คนส่วนใหญ่ต้องการบ้านที่มีฟังก์ชันครอบคลุม อาทิ Smart Home เพื่อความปลอดภัย ,นวัตกรรมจัดการคุณภาพอากาศ, การออกแบบเพื่อสูงอายุ, ที่ชาร์จรถ EV และ Double Volume ขณะที่กลุ่มคอนโดฯ จะให้ความสำคัญกับฟังก์ชันที่เพิ่มความเป็นส่วนตัว อาทิ ประตู-ฉากกั้นห้องนอน, หน้าต่างบานใหญ่, ครัวปิด, ห้องนอนที่สามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุตได้
ทั้งนี้ จะเห็นว่าเทรนด์ของผู้บริโภคในปี 2565 จะให้ความสำคัญกับโครงการอสังหาฯ ที่ช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดี มากกว่าการเปรียบเทียบราคาหรือทำเลแบบเมื่อก่อน โดยมีความต้องการหรือคาดหวังบ้านในอุดมคติ จะต้องช่วยสร้างความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น และต้องสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคลผู้อยู่อาศัยในแต่ละช่วงวัย
ซึ่งข้อมูลที่น่าสนใจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามในกลุ่ม Gen Y อายุ 27-40 ปี มีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยถึง 88% โดย 38% ของ Gen Y ต้องการซื้อบ้านหลังที่ 2 และ 29% เป็นการซื้อบ้านหลังแรก ซึ่งส่วนใหญ่มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวในระดับราคา 3-7 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่ม Gen Z อายุ 18-26 ปี กว่า 87% มีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่ง 72% เป็นการซื้อบ้านหลังแรกของ Gen Z และ 17% เป็นการซื้อบ้านหลังที่ 2 โดยสนใจซื้อคอนโดฯและบ้านเดี่ยว ในระดับราคา 2-5 ล้านบาท โดยปัจจัยสำคัญมาจาก ความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง, ต้องการสังคมที่ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น และต้องการซื้อไว้พักอาศัยในวันทำงาน ในขณะที่เรื่องการจัดการระบบสาธารณูปโภคที่ดี มีนวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวก การก่อสร้างที่ไม่ก่อมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยังเป็นเทรนด์สำคัญที่คนกลุ่ม Gen Z มีความต้องการเป็นอันดับต้นๆ
ด้านแนวโน้มความเชื่อมั่นผู้บริโภคปี 2565 พบว่ามีสัญญาณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปี 2565 อยู่ที่ 79.3 เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ 45.4 จากข้อมูลพบว่า กลุ่มเจ้าของกิจการมีความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าปี 2565 สถานะทางการเงินดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเชื่อมั่นว่าในอีก 1 ปีข้างหน้า ภาพรวมเศรษฐกิจไทย จะอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น อสังหาฯ หรือ รถยนต์ เป็นต้น
สำหรับการรองรับผู้บริโภคยุคใหม่นี้ น.ส.สุมิตรา กล่าวว่า ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต้องกำหนดจุดยืน จุดขายของตนเองใหม่ เนื่องด้วยผู้บริโภคในวันนี้ไม่ได้มองหาบ้านเพื่อการอยู่อาศัยเพียงเท่านั้น แต่ต้องการหาพื้นที่ที่จะช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดี (Wellbeing) ให้เกิดขึ้น ซึ่งโครงการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในทศวรรษนี้ นั่นคือ การวางแผนการพัฒนาโครงการอสังหาฯแบบผสมผสาน หรือ มิกซ์ยูส นั่นเอง
น.ส.สุมิตรา วงภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด เผยผลวิจัย The Most Powerful Real Estate Brand 2022 และผลวิจัยเจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคตามแนวคิด "GOOD HEALTH AND WELL-BEING" โดยเก็บข้อมูลแบบออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ 84% จาก 1,000 ตัวอย่าง มีแผนจะซื้อที่อยู่อาศัย โดยกว่า 44% ของผู้ตอบแบบสอบถาม คาดว่าจะซื้อบ้านเดี่ยว และ 29% คาดว่าจะซื้อคอนโดมิเนียม โดยวางงบซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคา 3-5 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยมาจาก 3 ปัจจัย คือ 1.ระบบรักษาความปลอดภัยของโครงการ ต้องการเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัย 2. บริการหลังการขาย และ 3. สังคมเพื่อนบ้านที่ดี ต้องมีความสุขกายสบายใจ การมีที่อยู่อาศัย คือ มีสภาพแวดล้อมที่ดี ต้องมีการออกแบบการอยู่อาศัยให้กับผู้ซื้อ เป็นต้น
"สิ่งที่เราต้องการสื่อสาร อยากให้ทำความเข้าใจผู้บริโภคใหม่ เราเห็นว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปตามดิจิทัล เปลี่ยนแปลงแบบ Realtime ลูกค้าปีที่แล้วกับปีนี้ เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ตอนนี้ คนซื้อไม่ใช่ซื้อบ้านครั้งแรกในชีวิต แต่เป็นกลุ่มที่มีที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว สัดส่วน 36% และมีแผนจะซื้อบ้านภายใน 2 ปี สัดส่วน 30% มองบ้านเดี่ยว คอนโดฯ ราคา 3-5 ล้านบาท ฐานที่เก็บรายได้ใหญ่สุดประมาณ 35,000-50,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ ในการสำรวจ ยังได้รวมกลุ่มผู้มีรายได้ตั้งแต่ 9,000 บาทไปจนถึง 15,000 บาทเข้ามาด้วย เนื่องจากเราพบว่า ที่อยู่อาศัยระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาทมีแนวโน้มเติบโตได้อยู่"
สำหรับที่อยู่อาศัยระดับราคา 3-7 ล้านบาท (Mass) ในกลุ่มบ้านแนวราบทำเลที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก คือ รังสิต-ลำลูกกา ,บางใหญ่-บางบัวทอง, และบางพลี ขณะที่ ทำเลอยู่อาศัยในกลุ่มคอนโดฯที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก คือ จตุจักร-ประชาชื่น, อ่อนนุช-บางนา และพญาไท-อารีย์
สำหรับที่อยู่อาศัยระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท (Economy) ในกลุ่มบ้านแนวราบ ทำเลนิยม 3 อันดับแรก คือ ประชาชื่น-รัตนาธิเบศร์, ดอนเมือง-ปากเกร็ด และ คลองหลวง และทำเลในกลุ่มคอนโดฯ 3 อันดับแรก คือ รังสิต-ลำลูกกา, บางซื่อวงศ์สว่าง, บางใหญ่ และบางพลี
โดยปัจจัยสำคัญในการซื้อบ้านหรือคอนโดฯ ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัย, บริการหลังการขายที่ดี, สังคมเพื่อนบ้านดี, วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างและราคา
เมื่อเจาะลึกลงถึงความต้องการของผู้บริโภคในกลุ่มบ้านแนวราบ พบว่า คนส่วนใหญ่ต้องการบ้านที่มีฟังก์ชันครอบคลุม อาทิ Smart Home เพื่อความปลอดภัย ,นวัตกรรมจัดการคุณภาพอากาศ, การออกแบบเพื่อสูงอายุ, ที่ชาร์จรถ EV และ Double Volume ขณะที่กลุ่มคอนโดฯ จะให้ความสำคัญกับฟังก์ชันที่เพิ่มความเป็นส่วนตัว อาทิ ประตู-ฉากกั้นห้องนอน, หน้าต่างบานใหญ่, ครัวปิด, ห้องนอนที่สามารถวางเตียงขนาด 6 ฟุตได้
ทั้งนี้ จะเห็นว่าเทรนด์ของผู้บริโภคในปี 2565 จะให้ความสำคัญกับโครงการอสังหาฯ ที่ช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดี มากกว่าการเปรียบเทียบราคาหรือทำเลแบบเมื่อก่อน โดยมีความต้องการหรือคาดหวังบ้านในอุดมคติ จะต้องช่วยสร้างความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น และต้องสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคลผู้อยู่อาศัยในแต่ละช่วงวัย
ซึ่งข้อมูลที่น่าสนใจพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามในกลุ่ม Gen Y อายุ 27-40 ปี มีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยถึง 88% โดย 38% ของ Gen Y ต้องการซื้อบ้านหลังที่ 2 และ 29% เป็นการซื้อบ้านหลังแรก ซึ่งส่วนใหญ่มีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวในระดับราคา 3-7 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่ม Gen Z อายุ 18-26 ปี กว่า 87% มีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่ง 72% เป็นการซื้อบ้านหลังแรกของ Gen Z และ 17% เป็นการซื้อบ้านหลังที่ 2 โดยสนใจซื้อคอนโดฯและบ้านเดี่ยว ในระดับราคา 2-5 ล้านบาท โดยปัจจัยสำคัญมาจาก ความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง, ต้องการสังคมที่ดีขึ้น ปลอดภัยขึ้น และต้องการซื้อไว้พักอาศัยในวันทำงาน ในขณะที่เรื่องการจัดการระบบสาธารณูปโภคที่ดี มีนวัตกรรมที่ช่วยอำนวยความสะดวก การก่อสร้างที่ไม่ก่อมลพิษ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยังเป็นเทรนด์สำคัญที่คนกลุ่ม Gen Z มีความต้องการเป็นอันดับต้นๆ
ด้านแนวโน้มความเชื่อมั่นผู้บริโภคปี 2565 พบว่ามีสัญญาณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปี 2565 อยู่ที่ 79.3 เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ 45.4 จากข้อมูลพบว่า กลุ่มเจ้าของกิจการมีความเชื่อมั่นมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าปี 2565 สถานะทางการเงินดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเชื่อมั่นว่าในอีก 1 ปีข้างหน้า ภาพรวมเศรษฐกิจไทย จะอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น อสังหาฯ หรือ รถยนต์ เป็นต้น
สำหรับการรองรับผู้บริโภคยุคใหม่นี้ น.ส.สุมิตรา กล่าวว่า ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต้องกำหนดจุดยืน จุดขายของตนเองใหม่ เนื่องด้วยผู้บริโภคในวันนี้ไม่ได้มองหาบ้านเพื่อการอยู่อาศัยเพียงเท่านั้น แต่ต้องการหาพื้นที่ที่จะช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดี (Wellbeing) ให้เกิดขึ้น ซึ่งโครงการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในทศวรรษนี้ นั่นคือ การวางแผนการพัฒนาโครงการอสังหาฯแบบผสมผสาน หรือ มิกซ์ยูส นั่นเอง
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ