ดอกเบี้ยสูงหนี้เน่าเงินกู้บ้านพุ่ง
Loading

ดอกเบี้ยสูงหนี้เน่าเงินกู้บ้านพุ่ง

วันที่ : 24 พฤษภาคม 2566
สศช. เผยว่า หนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงเป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่น่ากังวลและเป็นเหมือนระเบิดเวลา เป็นความท้าทายของทุกรัฐบาล การปรับโครงสร้างหนี้เป็นความจำเป็น ต้องอาศัยทุกภาคส่วนเร่งรัดแก้ปัญหา
          สศช.ห่วงหนี้ครัวเรือนระเบิดเวลาเศรษฐกิจ

          สศช.เผยหนี้ครัวเรือนไตรมาส 4 ปี 65 มูลค่า 15.09 ล้านล้านบาท เป็นระเบิดเวลาเศรษฐกิจไทยเป็นเรื่องท้าทายของทุกรัฐบาล จี้ทุกภาคส่วนเร่งแก้ไขด้าน ธปท.ชี้ขึ้นดอกเบี้ยพ่นพิษ สินเชื่อแบงก์ไตรมาสแรกชะลอ หนี้เอ็นพีแอลสินเชื่อบ้านพุ่ง ห่วงหนี้ครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง จับตาสินเชื่อที่เริ่มขาดส่งกว่า 6 แสนราย เร่งพยุงไม่ให้เป็นหนี้เสีย

          นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยในการแถลงข่าวภาวะสังคมไทยไตรมาส 1 ปี 66 ว่า หนี้สินครัวเรือนล่าสุดไตรมาส 4 ปี 65 มีมูลค่า 15.09 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% ชะลอตัวจาก 4.0% ของไตรมาสที่ผ่านมา แต่เมื่อปรับฤดูกาล เพิ่มขึ้น 1.1% และมีสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) 86.9% ขณะที่ความสามารถชำระหนี้ของครัวเรือนทรงตัว โดยมีสัดส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ต่อสินเชื่อรวมในระบบธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 2.62% ทรงตัวเมื่อเทียบไตรมาสก่อน แต่ความสามารถชำระหนี้ยังมีความเสี่ยงในสินเชื่อรถยนต์ที่มีสัดส่วนสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ(เอสเอ็มแอล) ต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ยังมีมูลค่าสูงและมีบัญชีหนี้เสียเพิ่มขึ้น

          "หนี้สินครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงเป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่น่ากังวลและเป็นเหมือนระเบิดเวลา เป็นความท้าทายของทุกรัฐบาล การปรับโครงสร้างหนี้เป็นความจำเป็น ต้องอาศัยทุกภาคส่วนเร่งรัดแก้ปัญหาโอกาสที่จะระเบิดจริง เท่าที่ดูถ้าการจ้างงานยังไปได้ระดับนี้ และเศรษฐกิจยังเติบโตได้ระเบิดก็ยังไม่ระเบิด"

          สำหรับการจ้างงานไตรมาส 1 ปี 66 ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและการว่างงานลดลงสู่ระดับปกติโดยมีอัตราการว่างงานที่ 1.05% ของกำลังแรงงาน มีผู้ว่างงาน 420,000 คน เพราะมีการขยายตัวของการจ้างงานทั้งในและนอกภาคเกษตร แรงงานมีการทำงานล่วงเวลามากขึ้นและได้รับค่าจ้างเพิ่มขึ้น โดยการจ้างงานภาคเกษตรขยายตัว 1.6% ขณะที่นอกภาคเกษตรขยายตัว 2.7% จากการขยายตัวของการจ้างงานสาขาการค้าส่งและค้าปลีกและสาขาโรงแรมและภัตตาคาร ส่วนการจ้างงานสาขาการผลิตขยายตัวเล็กน้อย ขณะที่การจ้างงานลดลงได้แก่สาขาการขนส่ง/เก็บสินค้า และสาขาก่อสร้าง หดตัวถึง 7.2% และ 1.6% ตามลำดับ ชั่วโมงการทำงานเพิ่มขึ้น โดยชั่วโมงการทำงานภาพรวมและเอกชนอยู่ที่ 41.4 และ 44.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ตามลำดับ ขณะที่ผู้เสมือนว่างงาน ลดลงกว่า 11.3%

          ด้าน น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงภาพรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 1 ปี 66 ว่า ยังมีเสถียรภาพที่ดี มีเงินกองทุนและเงินสำรองสำหรับการรองรับหนี้สงสัยจะสูญ และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง ยังปล่อยเงินเพื่อฟื้นเศรษฐกิจได้ อย่างไรก็ตามกำไรสุทธิชะลอตัวลงเล็กน้อยเทียบไตรมาสก่อนหน้า สำหรับภาพรวมสินเชื่อชะลอลง โดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน จากการขายหนี้เสียบางส่วนของธนาคารพาณิชย์ออกและการชำระคืนหนี้ของภาครัฐ ขณะเดียวกันผลจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ออกตราสารหนี้เพื่อลดความเสี่ยง และนำเงินมาใช้คืนสินเชื่อ ขณะที่เอสเอ็มอียังทยอยคืนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนของ ธปท. และเมื่อแยกประเภทสินเชื่อพบว่า สินเชื่อธุรกิจลดลง 0.3% และสินเชื่ออุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง โดยเพิ่มขึ้นเพียง 2.1%

          สำหรับสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีไตรมาสนี้ แม้ยังใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน แต่ต้องติดตามความสามารถชำระหนี้ของกลุ่มเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีหนี้สูง สำหรับเอ็นพีแอลอยู่ที่ 2.68% ของวงเงินสินเชื่อรวม จาก 2.73% ไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม เอ็นพีแอลของสินเชื่ออุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นเป็น 2.68% ของสินเชื่อรวมจาก 2.62% โดยเอ็นพีแอลของสินเชื่อบ้านเพิ่มขึ้นสูงสุดมาอยู่ที่ 3.16% ของสินเชื่อรวม จาก 3.01% เพราะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมา ขณะที่เอ็นพีแอลของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 1.89% จาก 1.88%

          "ไตรมาสที่ผ่านมาเริ่มเห็นลูกหนี้รายย่อยที่เข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารพาณิชย์กลับมาเพิ่มขึ้น ล่าสุดอยู่ที่ 5.26 ล้านบัญชี แต่มาตรการแก้ไขหนี้ที่ ธปท.ออกไป ยังครอบคลุมการดูแลลูกหนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ธปท. อยู่ระหว่างติดตามลูกหนี้ที่กล่าวถึงเป็นพิเศษหรือลูกหนี้ที่เริ่มไม่ส่งหนี้ตั้งแต่ 30 วัน แต่ยังไม่ถึง 90 วัน (ไม่เป็นเอ็นพีแอล) ประมาณ 660,000 ราย มีโอกาสกลายเป็นหนี้เสียได้ โดยให้ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารรัฐ และบริษัทให้สินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เร่งดูแลก่อนเป็นหนี้เสีย"
ข่าว reic จากสื่อสิ่งพิมพ์ อื่นๆ