นายเอกชัย ชัยตระกูลทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ จำกัด (มหาชน) หรือ STC ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปและคอนกรีตผสมเสร็จ เปิดเผยกับ "ทันหุ้น" ถึงแนวโน้มธุรกิจในปี 2568 ว่ามีทิศทางเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการใช้คอนกรีตในภาคก่อสร้างแนวราบ อสังหาริมทรัพย์ และนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเมืองพัทยา

    สำหรับภาพรวมไตรมาส 2/2568 ของปีนี้ยังคงสดใส สะท้อนจากคำสั่งซื้อที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มโครงการบ้านจัดสรร และโครงการชานเมือง ซึ่งยังเป็นเป้าหมายหลักของบริษัท แม้งานแนวสูงอาจได้รับผลกระทบบ้างจากภาวะเศรษฐกิจ แต่ยังไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลักของ STC

    รุกขยายตลาด

    อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงขยายฐานลูกค้าในพื้นที่ศักยภาพสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งสาขาปทุมธานีที่เปิดใหม่สามารถเริ่มรับรู้รายได้แล้ว และช่วยเสริมกำลังการผลิต ในภาคกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ พื้นที่ภาคตะวันออกอย่างจันทบุรี และระยอง ยังคงมีกำลังซื้อแข็งแกร่ง จากนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ ถึงแม้ว่าทิศทางธุรกิจโดยรวมยังเป็นบวก แต่ STC ยังคงบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในด้านต้นทุนวัตถุดิบที่มีแนวโน้ม ปรับเพิ่มขึ้น

    ล่าสุดได้มีการปรับลดลค่า Backlog ลงจาก 150 ล้านบาท เหลือประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อลดภาระต้นทุนล่วงหน้า และหันมาเน้นการทยอยส่งมอบและรับรู้รายได้ตามจริงในแต่ละเดือน

    ในปัจจุบัน STC อยู่ระหว่างการยื่นประมูลงานโครงการภาครัฐหลายโครงการ โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งรวมถึงจังหวัดชลบุรี บ้านบึง ฉะเชิงเทรา และโครงการที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน อู่ตะเภา โดยคาดว่าจะมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งปีหลัง

    นอกจากนี้ บริษัทมีการลงทุนเพิ่มเครื่องจักรเพื่อรองรับความต้องการ (ดีมานด์) ที่เพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่พัทยา ซึ่ง STC ได้เดินหน้าขยายกำลังการผลิต โดยลงทุนติดตั้งเครื่องจักรใหม่ รองรับงานคอนกรีตผสมเสร็จในพื้นที่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ในไตรมาส 3 ของปีนี้ โดยพัทยากำลังถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ของภาคตะวันออก และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของบริษัทอีกด้วย

    ขับเคลื่อนด้วย ESG

    STC ยังเดินหน้าในด้านความยั่งยืนด้วยการนำแนวคิด ESG มาใช้ในกระบวนการผลิต อย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้วัสดุก่อสร้างที่ลดคาร์บอนอย่างซีเมนต์โลคาร์บอน และเหล็กจากกระบวนการลดคาร์บอน พร้อมยื่นขอใบรับรองคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ CFP (Carbon Footprint of Products) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในด้านสิ่งแวดล้อมให้กับลูกค้า

    อย่างไรก็ตามด้วยปัจจัยสนับสนุนที่แข็งแกร่งทั้งจากภาคก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม และโครงการภาครัฐ STC ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2568 ไว้ที่ 10-15% โดยยังไม่พบปัจจัยลบ ที่อาจส่งผลกระทบในระดับที่มีนัยสำคัญต่อธุรกิจ

    ดังนั้น บริษัทมีรายได้ในไตรมาส 1/2568 รวมจำนวน 133.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.05 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11.78 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และบริษัทมีกำไรสุทธิ 1.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.10 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 154 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีผลขาดทุนสุทธิ 2.01 ล้านบาท สืบเนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น การบริหารอัตรากำไรขั้นตัน และการดำเนินงานตามกลยุทธ์เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้