ธนาคารรัฐเดินหน้าซับน้ำตาน้ำท่วมใต้

   ธปท.ออกคำสั่งเร่งด่วนให้สถาบันการเงินเร่งช่วยลูกหนี้น้ำท่วมภาคใต้ พร้อมเปิดทางพักหนี้ลดดอกเบี้ย-เพิ่มวงเงินฉุกเฉิน ขณะที่แบงก์รัฐพาเหรดออกมาตรการเฉพาะ หวังบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนในพื้นที่ 10 จังหวัดอ่วมอุทกภัย

   ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกประกาศขอให้สถาบันการเงินเร่งช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยระบุว่า ธปท. ขอกำชับให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยที่มิใช่สถาบันการเงิน เร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ภายใต้แนวทางผ่อนปรนหลักเกณฑ์ที่แบงก์ชาติได้เคยกำหนดไว้แล้วเปิดทางให้ธนาคารและผู้ให้สินเชื่อรายย่อยใช้มาตรการผ่อนปรนเป็นกรณีพิเศษ ทั้งลดอัตราผ่อนชำระบัตรเครดิตเพิ่มวงเงินฉุกเฉินสินเชื่อส่วนบุคคล และปรับโครงสร้างหนี้ทุกประเภทโดยยังคงสถานะลูกหนี้เดิมไว้

   ขณะที่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ได้มอบหมายสถาบันการเงินเฉพาะของรัฐ เร่งหามาตรการเยียวยาช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะลูกหนี้ของตัวเอง โดยภาวะเร่งด่วนนี้ ธนาคารออมสินพักชำระเงินต้น และดอกเบี้ย เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยมาตรการสินเชื่ออื่นๆ อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียด

   นายไพศาล หงษ์ทอง รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส.ได้มีมาตรการเร่งด่วนอัดวงเงิน 20,000 ล้านบาท สินเชื่อฉุกเฉินดอกเบี้ย 0% 6 เดือน และสินเชื่อฟื้นฟูสูงสุดรายละ 500,000 บาท

   ส่วน นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) กล่าวว่า ได้ออกมาตรการเร่งด่วน ด้วยการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย สูงสุดไม่เกิน 12 เดือน สัญญาเบิกเงินทุนหมุนเวียนประเภทตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อแฟคตอริ่ง ขยายระยะเวลาชำระตั๋วสัญญาใช้เงินออกไปอีกสูงสุด 180 วัน และสามารถพักชำระดอกเบี้ยได้

   ด้าน นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ลูกค้า ธอส.สามารถยื่นความประสงค์เข้าร่วมมาตรการได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยมีทั้งหมด 7 มาตรการ อาทิ ลดดอกเบี้ย พักหนี้ และปล่อยกู้ซ่อมบ้าน พร้อมระบบ Fast Track จ่ายค่าสินไหมภัยธรรมชาติสูงสุด 20,000 บาท ผ่านภาพถ่าย

   น.ส.อ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า สศช.ได้ประมาณการผลกระทบน้ำท่วมไว้ 3 กรณีคือ กรณีผลกระทบน้อยสุดจะมีความเสียหาย 18,000 ล้านบาท กระทบ 0.1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) กรณีฐานเสียหาย 23,000 ล้านบาท กระทบ 0.13% ของจีดีพี และกรณีเสียหายมากสุด 29,000 ล้านบาท กระทบ 0.16%