ออลล์อินสไปร์ฯผนึกยักษ์ญี่ปุ่น เจอาร์ฯ-ฮูซิเออร์สฯ ผุดคอนโดย่านเอกมัย
Loading

ออลล์อินสไปร์ฯผนึกยักษ์ญี่ปุ่น เจอาร์ฯ-ฮูซิเออร์สฯ ผุดคอนโดย่านเอกมัย

วันที่ : 11 ตุลาคม 2561
“ออลล์ อินสไปร์ฯ” จับมือ 2 กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ “เจอาร์ คิวชู และ ฮูซิเออร์ส โฮลดิ้งส์” จากญี่ปุ่น ประเดิมโครงการไฮไลต์ย่านเอกมัย ล่าสุด ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นไอพีโอ 152 ล้านหุ้น เตรียมเข้าตลาดหุ้นไตรมาส 1/2562 ด้านยอดขายปีนี้คาดเพิ่มขึ้น 10% จากครึ่งปีแรกได้ 8,000 ล้านบาท พร้อมโชว์แบ็กล็อก 8,000 ล้านบาท
          “ออลล์ อินสไปร์ฯ” จับมือ 2 กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ “เจอาร์ คิวชู และ ฮูซิเออร์ส โฮลดิ้งส์” จากญี่ปุ่น ประเดิมโครงการไฮไลต์ย่านเอกมัย ล่าสุด ยื่นไฟลิ่งขายหุ้นไอพีโอ 152 ล้านหุ้น เตรียมเข้าตลาดหุ้นไตรมาส 1/2562 ด้านยอดขายปีนี้คาดเพิ่มขึ้น 10% จากครึ่งปีแรกได้ 8,000 ล้านบาท พร้อมโชว์แบ็กล็อก 8,000 ล้านบาท

          นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหญ่บริษัท รถไฟ คิวชู ประเทศญี่ปุ่น หรือกลุ่มเจอาร์ คิวชู (JR Kyushu) และบริษัท ฮูซิเออร์ส โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือกลุ่มฮูซิเออร์ส โฮลดิ้งส์ (Hoosiers Holdings) โดยเซ็นสัญญาข้อตกลงเพื่อร่วมทุนกับบริษัท ภายใต้ชื่อ บริษัท เอเอชเจ เอกมัย จำกัด มีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ซึ่งบริษัทถือหุ้น 51% กลุ่มฮูซิเออร์ส ถือหุ้น 29% และกลุ่มเจอาร์ คิวชู ถือหุ้น 20% ในเบื้องต้นมีแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรกในย่านเอกมัย ขนาดพื้นที่ 3 ไร่ คาดว่าจะมีการเปิดโครงการได้ในปี 2562

          สำหรับการร่วมทุนในครั้งนี้มาจากการที่กลุ่มเจอาร์ คิวชู และกลุ่มฮูซิเออร์ส โฮลดิ้งส์ มองเห็นศักยภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย และศักยภาพของออลล์ อินสไปร์ฯ ที่มีความโดดเด่นและความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องแบรนดิ้งและความเป็นแมสพรีเมียม ในการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าในราคาที่สามารถจับต้องได้

          โดยกลุ่มเจอาร์ คิวชู และฮูซิเออร์ส โฮลดิ้งส์ เป็นบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเกี่ยวโยงกับอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่นที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับธนาคารกรุงศรีฯ จะช่วยซัพพอร์ตทางด้านเงินลงทุน มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่โดดเด่นโดยเฉพาะด้านคุณภาพ การออกแบบสถาปัตยกรรม และการบริหารพื้นที่ใช้สอยอย่างยั่งยืน รวมถึงทีมออกแบบและทีมควบคุมคุณภาพที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้สามารถร่วมกันพัฒนาโครงการในรูปแบบของนวัตกรรมที่ทันสมัยและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี เชื่อว่าชื่อเสียงและผลงานที่ผ่านมา จะส่งผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนญี่ปุ่นในไทย รวมถึงคนไทยและชาวต่างชาติอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน

          “การร่วมทุนทางธุรกิจในครั้งนี้ถือเป็นเกียรติที่ได้บริษัทยักษ์ใหญ่ 2 บริษัท อย่างบริษัท รถไฟ คิวชู ประเทศญี่ปุ่น และบริษัท ฮูซิเออร์ส โฮลดิ้งส์ จำกัด มาเป็นพันธมิตรในการสนับสนุนทางธุรกิจ และเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนด้านกลยุทธ์ของบริษัท ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ เพื่อการขยายและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในย่านเอกมัย ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพทั้งด้านการคมนาคมที่สะดวกสบาย แหล่งชุมชน ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะสามารถแลกเปลี่ยนจากการร่วมทุนครั้งนี้ เป็นการเสริมสร้างศักยภาพของออลล์ อินสไปร์ฯ ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นให้สามารถพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยก้าวสู่ระดับสากลตามที่ได้ตั้งใจไว้อย่างแน่นอน” นายธนากร กล่าว

          ด้านแผนการเปิดโครงการของบริษัทในปีนี้ บริษัทมีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว จำนวน 5 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 7,200 ล้านบาท และจะมีการเลื่อนเปิดโครงการอีก 2 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,000 ล้านบาท ไปเปิดในปี 2562 แทน จากเดิมที่มีแผนจะเปิดโครงการในปีนี้ทั้งหมด 7 โครงการ

          ส่วนยอดขายปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากในช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำได้แล้ว 8,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายประมาณ 714 ล้านบาท ขณะเดียวกันปัจจุบันมียอดขายรอโอน (แบ็กล็อก) ประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 8-10% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปีถัดไป

          นายสมชาย ชาญธนเวทย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ฯ กล่าวว่า บริษัทยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในวันที่ 10 ต.ค. 2561 ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 4 เดือน ในเบื้องต้นน่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในช่วงไตรมาส 1/2562

          ทั้งนี้ บริษัทจะเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 152 ล้านหุ้น คิดเป็น 25% ของทุนจดทะเบียน โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็นประมาณ 560 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 410 ล้านบาท

          ส่วนกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย มองว่าจะกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากคนที่ต้องการซื้อเพื่อเก็งกำไร ส่วนลูกค้าของบริษัทที่กู้ไม่ผ่าน ถือว่าไม่สูง ซึ่งมียอดที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อไม่ถึง 10% โดยส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการย้ายงาน กู้ไม่ผ่าน และลูกค้ามีการเปลี่ยนใจ เป็นต้น
 
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ