'QH'ชะลอเปิด 2 คอนโดฯใหม่ เหตุเพราะติดปัญหา EIA
Loading

'QH'ชะลอเปิด 2 คอนโดฯใหม่ เหตุเพราะติดปัญหา EIA

วันที่ : 3 สิงหาคม 2561
'QH'ชะลอเปิด 2 คอนโดฯใหม่ เหตุเพราะติดปัญหา EIA

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (QH) เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทฯมีโครงการใหม่ที่เปิดรวมทั้งสิ้น 12-13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 10,000 ล้านบาท จากแผนเดิมที่จะเปิด 15 โครงการค่าโครงการวม 13,000 ล้านบาท ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียม Q นานา จะเปิดขายอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 4/2561 หลังจากที่เปิดขายให้กับลูกค้าบางส่วนไปแล้วตั้งแต่ปี 2558 โดยที่มียอดขายเพียง 28% ถึงปัจจุบัน ทำให้บริษัทจะกลับมาเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม Q นานา อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4/2561 ซึ่งเป็นช่วงที่โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยราคาขายยังอยู่ที่ 300,000 บาท/ตารางเมตร (ตร.ม.)และยังมั่นใจยอดขายทั้งปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายเติบโต 10% หรืออยู่ที่ 15,500 ล้านบาท ส่วนในช่วงไตรมาส 4/2561 บริษัทจะเปิดให้บริการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ เซ็นเตอร์พ้อยท์ พัทยา ที่จะเข้ารายได้ประจำให้กับบริษัทฯเพิ่มขึ้น

สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในครึ่งปีหลังบริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่อีก 7-8 โครงการ โดยเป็นโครงการแนวราบและส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และมีโครงการในต่างจังหวัดที่จะเปิดในเชียงใหม่ 1 โครงการ ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการที่เปิดในช่วงครึ่งหลังของ ปีนี้นั้นบริษัทจะเลื่อนเปิดโครงการออกไป ดังนี้ คือโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ในลาดพร้าว เนื่องจากการขออนุญาตวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) ยังไม่แล้วเสร็จ คาดว่าจะเลื่อนไปเปิดในปี 2562 ส่วนอีกโครงการคือ คอนโดมิเนียมย่านเจริญนคร ที่วางแผนจะเปิดในช่วงไตรมาส 4/2561 โดยอยู่ระหว่างการทบทวนและชะลอแผนการการพัฒนาโครงการดังกล่าวไปก่อน เนื่องจากติดปัญหาในการขอ EIA เพราะที่ดินข้างๆ ของโครงการเป็นตึกสูงเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่า ยอดขายทั้งปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายคือเติบโต 10% หรือมียอดขายที่ 15,500 ล้านบาท แม้ว่าจะมียอดเปิดโครงการใหม่ลดลงก็ตาม ส่วนในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ บริษัทจะเปิดให้บริการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เซ็นเตอร์พอยต์ พัทยา ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการเช่าเพิ่มขึ้น

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังนายชัชชาติกล่าวว่า ยังค่อนข้างดี โดยเฉพาะตลาดแนวราบ ที่ยังมีความต้องการซื้อในตลาดที่มากอยู่ ขณะที่ตลาดคอนโดฯยังเผชิญปัญหาสินค้าล้นตลาดไนบางทำเล เช่น ทำเลรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่ยังต้องใช้ระยะเวลาในการดูดซับไปอีก 2 ปี สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัดบางทำเลยังเห็นการชะลอการลงทุนอยู่ แต่ในบางจังหวัดใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ตลาดยังไปได้ต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้าชาวไทยและชาวจีน ส่วนทำเลในจังหวัดโซนระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มองว่าการมีรถไฟความเร็วสูง จะทำให้กลุ่มผู้รายได้สูงที่ทำงานในทำเลนั้นๆ เลือกที่จะอยู่อาศัยในเมืองมากกว่า เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ซึ่งจะทำให้กลุ่มลูกค้าใน EEC จะเป็นกลุ่มพนักงานมากกว่าที่เลือกซื้อโครงการที่กระจายออกไปตามรอบนอกเมือง

 
ที่มา : หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ