จึงรุ่งเรืองกิจ ดึงทุนสิงคโปร์ลุยอสังหาฯ
จึงรุ่งเรืองกิจส่ง "ทายาท" กุมบังเหียน "เรียลแอสเสทฯ" ขยายอสังหาฯ เต็มสูบ เร่งเจรจาพันธมิตรสิงคโปร์เข้าร่วมทุน หนุนกระแสเงินสดปึ้ก พร้อมลุยปิดดีลซื้อโรงแรม 3 ดาว หวังปั้นบริษัทติดท็อป 10 ใน 5 ปี
นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางการขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทใน 5 ปีข้างหน้า วางแผนจะขยายธุรกิจให้ครอบคลุมตลาดมากขึ้น ผลักดันให้เป็นผู้ประกอบการ อสังหาฯที่มียอดขาย รายได้ กำไร และแบรนด์แข็งแกร่งติดท็อป 10 ในตลาด
สำหรับแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจปลายปีนี้ ลุยเปิด 2 โครงการใหม่ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมลักชัวรีแบรนด์ "เอสทีค ทองหล่อ" (AESTIQ Thonglor) มูลค่ากว่า 4,200 ล้านบาท บนเนื้อที่ 3 ไร่ ซอยทองหล่อ 25 จำนวนทั้งสิ้น 203 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 33-297 ตารางเมตร(ตร.ม.) คาดราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 3 แสนบาทต่อตร.ม. หรือเริ่มต้น 8.99 ล้านบาท พร้อมสร้างจุดขายนำรถยนต์เทสล่ามาให้บริการ ส่วนกลาง โครงการดังกล่าวจะเปิดขาย 8-9 ก.ย.นี้
คาดสิ้นปีมียอดขาย 50% ส่วนอีกโครงการเป็นบ้านแฝดบนเนื้อที่ 30 ไร่ ย่านสายไหม มูลค่า 683 ล้านบาท จำนวน 126 ยูนิต ราคาขาย 4-10 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทได้เจรจากับทุนสิงคโปร์เพื่อดึงมาร่วมทุนเสริมความแข็งแกร่งด้านกระแสเงินสด เพื่อเพิ่มความเร็วในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้ได้มากกว่า 1-2 โครงการต่อปี
"แนวทางนี้จะทำให้เราเติบโตได้เร็ว เพราะ การรอกระแสเงินสดจากโครงการแนวสูงใช้เวลา 2-3 ปีกว่าจะรับรู้รายได้ และจะให้รอรายได้ จากแนวราบอย่างเดียวอาจช้า การร่วมทุนจึงได้ทั้งเงินทุน และองค์ความรู้ต่อยอดธุรกิจ"
ขณะเดียวกัน บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการโรงแรมระดับ 3 ดาว ในกรุงเทพฯ มูลค่าหลักร้อยล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ประจำ
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีแรก มีมูลค่าการโอนอยู่ที่ 1.1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% เทียบไตรมาส 1 ปีก่อน โดยเป็นคอนโด 50% ทาวน์เฮ้าส์ 30% ที่เหลือเป็นบ้านเดี่ยวและอื่นๆ
ด้านภาพรวมบริษัท ปีนี้บริษัทคาดว่า จะมียอดขาย 3,400 ล้านบาท เติบโตราว 10% ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้(Backlog) 2,600 ล้านบาท และรับรู้รายได้ปีนี้ราว 400 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม แผนธุรกิจข้างต้น คาด จะผลักดันให้ปีหน้าบริษัทมีรายได้แตะ 2,900 ล้านบาท และเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย(ตลท.) ส่วนปี 2563 จะมีรายได้ 3,500 ล้านบาท