THANAตุนแบ็กล็อก200ล้าน จ่อบุ๊กรายได้Q3กว่า80-90%
“ธนาสิริ กรุ๊ป” โชว์แบ็กล็อก 200 ล้านบาท จ่อบุ๊กไตรมาส 3 ประมาณ 80-90% และส่วนที่เหลือบุ๊กในไตรมาส 4/2561 ขณะที่ครึ่งปีแรกโกยยอดขาย 200-250 ล้านบาท เตรียมสรุปแผนพัฒนาโครงการบ้านพักผู้สูงอายุที่ภูเก็ตไตรมาส 3/2561
นางสาววิภานันท์ แย้มคุ้ม ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์อาวุโส บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวม 200 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 3/2561 ได้ประมาณ 80-90% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4/2561
อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่ารายได้ทั้งปีของปีนี้อาจจะลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 836.75 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ซบเซาในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ประกอบกับการตลาดออนไลน์ยังไม่เป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/2561 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 149.36 ล้านบาท ลดลง 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ยอดขาย (Presale) ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 200-250 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ 30-40% ที่มียอดขายได้ 400 ล้านบาท โดยยอดขายดังกล่าวมาจากการขายโครงการเดิมในมือ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายจำนวน 7 โครงการ แบ่งเป็น โครงการในเขตนนทบุรี จำนวน 6 โครงการ และโครงการในเขตอุดรธานีจำนวน 1 โครงการ มีมูลค่าโครงการที่เหลือขายรวม 1,900 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่นนทบุรี บริษัทมองว่ามีการแข่งขันสูงขึ้น เนื่องจากมีการพัฒนาสาธารณูปโภคเพิ่มมากขึ้น และยังมีการพัฒนาในด้านต่าง ๆ เทียบเท่ากับตัวเมืองมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่เริ่มหันมาทำการตลาดในเขตพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาลงทุนพัฒนาโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุในจังหวัดภูเก็ต คาดว่าจะสรุปความชัดเจนได้ภายในไตรมาส 3/2561 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ชะลอแผนการพัฒนาโครงการดังกล่าว เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
นางสาววิภานันท์ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทอาจจะมีการเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ไปเปิดในปี 2562 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่เอื้อต่อการลงทุน ซึ่งเดิมบริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 4/2561 จำนวน 2 โครงการ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว และโครงการบ้านแฝด
นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินไว้ประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีความสนใจที่ดินในทำเลที่มีการพัฒนาด้านสาธารณูปโภคอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาบริษัทยังไม่มีการซื้อที่ดินเพิ่ม