ทุนต่างชาติสยายปีก บุกหนักอสังหาไทย
โชคชัย สีนิลแท้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแข่งขันในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยนับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปัจจัยที่ผลักดันให้เติบโตมาจากการที่ไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของโลก อีกทั้งรัฐบาลมีการเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าหลายเส้นทาง รถไฟความเร็วสูง รวมไปถึงโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ให้เกิดขึ้น ที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ โดยเฉพาะจากกลุ่มทุนญี่ปุ่นและจีน ซึ่งถือเป็นกลุ่มทุนหลักที่เดินหน้าเข้ามาลงทุนในไทยอย่างมากเวลานี้
พีระพงศ์ จรูญเอก ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า การร่วมลงทุนกับทุนต่างชาติ ในรูปแบบ JV หรือ Joint Venture ถือเป็นการยกระดับการพัฒนาโครงการให้เป็นระดับสากลมากขึ้น สะท้อนให้เห็นจากการที่บริษัทร่วมทุนกับ โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลลอป เมนท์ ประเทศญี่ปุ่น พบว่าก่อนที่จะมาร่วมมือกับออริจิ้น เขาต้องมาศึกษา แผนธุรกิจที่บริษัทเคยดำเนินการมา ที่ผ่านมาบริษัทดำเนินธุรกิจมานาน 9 ปี ขณะที่โนมูระฯ ทำธุรกิจมาไม่ต่ำกว่า 60 ปี
"โครงการที่จะร่วมทุนพัฒนากับ โนมูระฯ นั้นถึงขั้นไปเปิดโรงแรมใกล้กับโครงการที่จะพัฒนาว่าตลาดอยู่ตรงนั้นเป็นอย่างไร เพื่อให้เข้าใจถึงศักยภาพการทำงานเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน ทำให้ทีมงานคนไทยต้องทำงานกันอย่างหนัก เป็นการฝึกให้มีวินัยเหมือนคนญี่ปุ่น มีการคิดที่เป็นกระบวนการเพื่อที่จะได้สินค้าและกระบวนการที่ดี" พีระพงศ์ย้ำ
ขณะเดียวกันก็ต้องมีพาร์ตเนอร์กับบริษัทพันธมิตรทางจีนและฮ่องกงเพื่อนำสินค้าไปขายในต่างประเทศ คือบริษัท ฟัลครัม โกลบอล ซึ่งเป็นทั้งบริษัทลงทุนและตัวแทนจำหน่ายอสังหาฯ ให้กับบริษัทในตลาดต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้จับมือกับทุนจากญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียว แต่ต้องการเป็นพันธมิตรกับทุนจากหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทุนจากจีน เนื่องจากจีนเขาเอาคนเข้ามาและมีดีมานด์จากกำลังซื้อ ปัจจุบันต้องมองว่าการพัฒนาคอนโดมิเนียมนั้นเป็นการพัฒนาเพื่อ ส่งออกด้วยเหมือนกับการขายสินค้า เนื่องจากจะได้เงินจากต่างประเทศเข้ามาซื้อของในไทย
ที่ผ่านมาความต้องการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเฉลี่ยอยู่ปีละ 4 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบันกำลังซื้อมาจากจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ มันมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่าตลาด อสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดที่เติบโต ได้นั้นมาจากความต้องการของต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีนในปัจจุบันไม่ต่ำ กว่า 20% ที่ผ่านมาบริษัทมีการพัฒนาโครงการร่วมกับบริษัท โนมูระฯ 5 โครงการ มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท และพัฒนามิกซ์ยูสโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์อีก 2 โครงการ บริเวณทองหล่อและสุขุมวิท 24 มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท
"ก่อนหน้านี้ บริษัท โนมูระฯ เคยจดๆ จ้องๆ ที่จะเข้ามาพัฒนาอสังหาฯ ในไทยมากว่า 4-5 ปีแล้ว ก่อนที่จะมาเริ่มคุยกับทางออริจิ้นซึ่งมีแนวคิดที่ตรงกัน จึงได้มาร่วมกันพัฒนาโครงการ ประเทศไทยถือว่าอยู่ในชัยภูมิที่ดีการนำอสังหาฯ ไปขายให้ต่างชาติ อย่างคนจีนก็เปลี่ยนไปเยอะ อย่างจีนเข้าเก่งเรื่องเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก เขาไม่ต้องใช้เงินสดแล้วโนแคชเลส คนจีนสามารถอยู่กับคนไทยและชาติอื่นๆ ได้อย่างดี เพราะการอยู่ร่วมกันหลายชาติ ทำให้สังคมเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลมากยิ่งขึ้น" พีระพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ การจับมือกับทุนต่างชาตินั้นจะได้มุมมองใหม่ๆ ที่ฉลาด อย่างญี่ปุ่นจะได้ความเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรมระบบการก่อสร้าง ส่วนการเป็นพันธมิตรกับจีนจะได้มุมทางด้านการค้าขาย ซึ่งเขาเป็นประเทศเกิดใหม่ ที่ประชากรมีความร่ำรวยและพร้อมที่จะเอาเงินออกนอกประเทศ เนื่องจากเขาเก็บเงินไว้ในประเทศอย่างเดียวจะรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย เพราะเคยเป็นคอมมิวนิสต์มาก่อน เมื่อมีเงินมากขึ้นจะต้องนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ นอกจากนี้พาร์ตเนอร์จากสิงคโปร์ก็มีความเชี่ยวชาญทางด้านการเงิน ซึ่งเป็นประเทศเล็กแต่บุคลากรมีความสามารถในการลงทุนและการตัดสินใจที่ดี ในบริษัทเดียวกันอาจจะมีพาร์ตเนอร์อย่างน้อย 3 ประเทศ ถือเป็นการรวมตัวที่ดี
ปัจจุบันบริษัทมีการร่วมทุนกับต่างชาติมีเฉพาะรูปแบบคอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์และโรงแรม แต่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบด้วย
สุรเชษฐ กองชีพ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตลาด ไรส์แลนด์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทุนจากจีนมีแนวโน้มว่าจะเข้ามาลงทุนในอสังหาฯ ในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในไทย เนื่องจากมองเห็นโอกาสการลงทุนในระยะยาว ซึ่งรูปแบบของการลงทุนนั้นจะไม่นิยมนอมินี ขอเป็นฝ่ายบริหารจัดการเองและบริษัทที่ร่วมลงทุนต้องลงทุนในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ปัจจุบันกลุ่มทุนจีนมาลงทุนในอสังหาฯ ไทยแล้วกว่า 1.25 แสนล้านบาท ซึ่งแนวโน้มนั้นจะยังมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง