THANAโชว์แบ็กล็อก280ล้าน ย้ำปีนี้รายได้-ยอดขายโต15%
THANA ตุนแบ็กล็อก 270-280 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนความต้องการและกำลังซื้อของผู้บริโภคยังมีอยู่ พร้อมคงเป้ารายได้-ยอดขายปีนี้โต 10-15% จากปีก่อน เล็งเปิด 2 โครงการ มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท
นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 270-280 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 2/2561 ประมาณ 70-80% ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในช่วงไตรมาส 3-4/2561
“จบไตรมาส 1/2561 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดแบ็กล็อกในมือเพิ่มขึ้นเป็น 270-280 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากเดิมที่บริษัทมียอดแบ็กล็อกอยู่ที่ระดับกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนได้ว่าในช่วงไตรมาส 1/2561 ที่ผ่านมา ความต้องการและกำลังซื้อของผู้บริโภคยังมีอยู่ และตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงไปได้อยู่” นายสุทธิรักษ์ กล่าว
ทั้งนี้ ยอด Backlog ในมือทั้งหมดมาจากโครงการ ธนาฮาบิแทต ราชพฤกษ์–สิรินธร เป็นหลัก หรือประมาณ 30-40% นอกจากนี้ยังมียอดขายจากโครงการที่อยู่ระหว่างขายอื่น ๆ โดยปัจจุบันบริษัทมีสินค้าพร้อมโอน (สต๊อก) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 300 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด และมีที่ดินพร้อมขาย ซึ่งเป็นที่ดินที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรแล้ว มูลค่ารวมประมาณ 1,500 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้รวมและยอดขายในปีนี้จะเติบโตประมาณ 10-15% จากปี 2560 ซึ่งมีรายได้และยอดขายอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โดยในปีนี้บริษัทมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,500 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว และโครงการบ้านแฝด ซึ่งจะเปิดขายในช่วงไตรมาส 4/2561
นายสุทธิรักษ์ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทจะเน้นพัฒนาโครงการในระดับพรีเมียม (ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป) มากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนลูกค้าในกลุ่มพรีเมียมในปี 2563 เป็น 50% หรือประมาณ 500-800 ล้านบาท ของยอดขายรวม จากปีก่อนที่มีสัดส่วนลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวอยู่ที่ 20% หรือประมาณ 200-300 ล้านบาท ของยอดขายรวม
นอกจากนี้ บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 500-800 ล้านบาท โดยเกณฑ์ในการเข้าซื้อที่ดิน บริษัทจะดูจาก 1.ทำเลที่ตั้งของที่ดินแปลงนั้น, 2.ความต้องการในบริเวณนั้น ๆ และ 3.การขยายตัวของสาธารณูปโภค เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีที่ดินเปล่าในมือแล้วกว่า 100 ไร่ ได้แก่ ที่ดินในจังหวัดภูเก็ต จำนวน 105 ไร่ และที่ดินทำเลรัตนาธิเบศร์ ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง ขนาดกว่า 2 ไร่
สำหรับแหล่งเงินทุน จะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ประมาณ 1.5-1.7 เท่า ซึ่งบริษัทมีนโยบายรักษา D/E ไม่ให้เกินระดับ 2 เท่า เพื่อเป็นการควบคุมความเสี่ยงจากการลงทุน
ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงขับเคลื่อนด้วยสินค้าประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งปัจจุบันมีสินค้า (ซัพพลาย) ประเภทดังกล่าวจำนวนมาก ขณะที่ความต้องการ (ดีมานด์) ก็ยังมีอยู่สูง ทั้งนี้ สินค้าประเภทคอนโดมิเนียม มีลูกค้าที่หลากหลาย เช่น มีทั้งนักลงทุน ผู้ซื้ออยู่จริง ชาวต่างชาติ เนื่องจากสินค้าประเภทดังกล่าวจะถูกพัฒนาขึ้นในเขตเมือง ประชากรส่วนใหญ่ต้องการอยู่อาศัยในเมือง แต่ปัจจุบันจะเห็นผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายลงมาเน้นตลาดแนวราบมากขึ้น สะท้อนปัจจัยที่ดินในเมืองหายากขึ้น และราคาที่ดินที่ปรับเพิ่มขึ้นทุกปี