เมเจอร์ แตกไลน์ ธุรกิจให้เช่าเสริมพอร์ต
อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร
ตลาดอสังหาริมทรัพย์หรูยังคงเป็นที่สนใจของดีเวลลอปเปอร์ เพราะเป็นโปรดักต์ที่ได้รับความสนใจและมีความต้องการของนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติต่อเนื่อง แม้ราคาจะค่อนข้างสูงด้วยเหตุต้นทุนจากราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ยอดขายสำหรับตลาดอสังหาฯ ระดับพรีเมียมขึ้นไปถึงซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ลดลงแต่อย่างไร
สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมยังเติบโตได้ดี เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและเป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพทั้งนี้สะท้อนได้จากโครงการ มิวนีค หลังสวน ที่มียอดขายไปกว่า 90%
ส่วนโครงการมาร์ค สุขุมวิท มียอดขายไปกว่า 80% โดยห้องเพนต์เฮาส์มีการจับจองไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยมูลค่าเกือบ 6 แสนบาท/ตารางเมตร (ตร.ม.) ทำให้บริษัทมีความมั่นใจกับตลาดกลุ่มนี้ โดยยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ๆ ทั้งแนวราบและสูง พร้อมแตกไลน์ โปรดักต์สินค้าเน้นความเป็นพรีเมียมในทุกโลเกชั่น การสร้างจุดต่างภายใต้ข้อจำกัดด้านที่ดิน ที่สำคัญคือสินค้าต้องถูกใจตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในทุกทำเลและราคาสมเหตุผล
"ธุรกิจอสังหาฯ ในวันนี้ยังมีโอกาสอีกมาก ถ้าเราสามารถหาโลเกชั่นที่ถูกจุดและนำเสนอสิ่งที่ถูกใจลูกค้าได้ ซึ่งบริษัทเน้นพัฒนาโครงการในย่านซีบีดีที่เป็นไพรม์แอเรีย เพราะเป็นย่านที่มีความถนัดและยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง มี Capital Gain สูง และเป็นย่านที่ต่างชาติให้ความสนใจ"
สุริยา กล่าวต่อไปว่า ด้านแผนงานของบริษัทในปีนี้นั้น บริษัทมีแผนลงทุนและพัฒนาอสังหาฯ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว ประกอบด้วย โรงแรมระดับ4 ดาว จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ ทำเลสุขุมวิท 39 อยู่ติดกับโครงการมาร์ค สุขุมวิท พื้นที่ประมาณ 510 ตารางวา (ตร.ว.) จำนวน 200 กว่าห้อง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบและเจรจากับโอเปอเรเตอร์
ส่วนอีกโครงการจะอยู่ทำเลเพชรบุรีตัดใหม่ พื้นที่ราว 1 ไร่กว่า จำนวนประมาณ 100 ห้อง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนและจะเริ่มก่อสร้างในปีนี้อย่างน้อย 1 โครงการ เพิ่มเติมจากที่บริษัทได้มีการลงทุนโรงแรมที่หัวหินและพัทยา ซึ้งการรุกตลาดโรงแรมในพื้นที่กรุงเทพฯ ครั้งแรก
อีกทั้งยังมีแผนพัฒนาแนวราบในรูปแบบบ้านแฝด 5 ชั้น 1 โครงการ บนพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ ทำเลสุขุมวิท จำนวน 6-7 ยูนิต ราคาขาย 50-60 ล้านบาท ซึ่งเป็นแผนในปีนี้ หากพร้อมก็จะเปิดตัวทันทีเนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจ สามารถปิดการขาย ก่อสร้าง และโอนได้ในระยะเวลารวดเร็วกว่าคอนโดที่ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี
นอกจากนี้ มีแผนพัฒนาโครงการคอนโดอีก 1 โครงการ ภายใต้แบรนด์มิวนีค สูงประมาณ 30 ชั้น มูลค่าโครงการราว 3,000 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการประมาณ 1 ไร่ครึ่ง ราคาขายอยู่ที่ประมาณ 2.5 แสนบาท/ตร.ม. คาดเปิดตัวในครึ่งปีหลังปีนี้
รวมทั้งมีแนวคิดที่จะพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งมีทั้งคอนโดและออฟฟิศให้เช่า จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบนทำเลรามคำแหงพื้นที่โครงการราว 6 ไร่ และทำเลพหลโยธิน พื้นที่โครงการราว 5 ไร่ สำหรับคอนโดจะจับกลุ่ม 1.5 แสนบาท/ตร.ม.บวกลบ
ในส่วนออฟฟิศจะพัฒนาพื้นที่ประมาณ 2-3 หมื่น ตร.ม. โดยอัตราค่าเช่าจะอยู่ที่ประมาณ 400 บาท/ตร.ม./เดือน คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2562 เพิ่มเติมจากเมเจอร์ ทาวเวอร์ ทองหล่อ ที่บริษัทเปิดให้เช่าในปัจจุบัน
สุริยา กล่าวว่า สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2561 ยังคงเห็นการเปิดตัวโครงการใหม่ของบรรดาดีเวลลอปเปอร์ ซึ่งตลาดระดับราคา 1.5 แสนบาท/ตร.ม.บวกลบ ยังเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง
สำหรับทำเลที่ไม่น่าห่วงคือสุขุมวิทปลายๆ แต่ถ้าเป็นโซนรัชดาฯ พระราม 9 ลาดพร้าว พหลโยธิน ฯลฯ ซึ่งมีซัพพลายระดับ 1 แสนบาทต้นๆ/ตร.ม. อยู่เป็นจำนวนมากทำให้เกิดการแข่งขันสูงเช่นกัน
ในส่วนของตลาดลูกค้าต่างชาติมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นโดยเฉพาะคนจีนซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนถึง 20-30% อาจเพิ่มขึ้นเป็น 30-40% เพราะมีความสนใจในการลงทุนอสังหาฯ ในไทยทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองในอนาคตและลงทุนปล่อยเช่า
ด้านผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายประมาณ 6,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันมีแบ็กล็อกทั้งในส่วนของบริษัทและโครงการร่วมทุนอยู่ราว 6,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป
"บริษัทมองเห็นโอกาสในการลงทุนและขยายธุรกิจในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังมี เพราะความต้องการของลูกค้ายังมีอยู่มาก ขณะที่ต่างจังหวัดแม้จะมีโอกาสแต่มีอุปสรรคเยอะต้องรอจังหวะและกำลังซื้อ ทั้งนี้บริษัทกำลังพิจารณาทำเลหัวหิน เบื้องต้นมีแผนพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส แต่ขอดูซัพพลายและกำลังซื้อในช่วง 1-2 ปีก่อน อย่างไรก็ดีสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทเป็นอสังหาฯ เพื่อขาย 90% และอสังหาฯ เพื่อเช่า 10%" สุริยา กล่าว