เน็กซัสฯชี้แนวโน้มอสังหาฯปี61 ทุนไทย-ต่างชาติแห่เข้าตลาดเพียบ
นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ไตรมาสแรกปีนี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯคึกคักต่อเนื่อง และน่าจับตามองในเรื่องของการลงทุน ราคาที่ดิน รวมถึงแนวโน้มครึ่งปีหลัง โดยต้นปีนี้มีคอนโดมิเนียมเกิดใหม่ 14,094 หน่วย รวม 31 โครงการ เพิ่มขึ้นเท่าที่ประมาณการไว้ รวมมีห้องชุดในตลาด 564,000 หน่วย
และจากการที่ดินใจกลางเมืองมีราคาปรับสูงขึ้น ทำให้ผู้พัฒนาไม่สามารถหาที่ดินพัฒนาโครงการได้เหมาะสม พบว่าโครงการที่อยู่รอบใจกลางเมืองมีสัดส่วน 76% ห้องชุดเกิดใหม่โซนสุขุมวิทตอนปลาย 29% โซนพญาไท-รัชดาภิเษก-พระราม 9 มี23% โซนตากสิน เพชรเกษม 17% และชานเมือง 20% ซึ่งทำเลที่น่าสนใจในครึ่งปีหลังนี้ คือ แจ้งวัฒนะ และรามอินทรา จากแผนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูและพื้นที่ใจกลางเมือง อย่างไรก็ตามต้นปีหน้า ราคาคอนโดมิเนียมซูเปอร์ลักชัวรีกลางเมือง ทำเลสุขุมวิทไม่เกินทองหล่อ จะมีเปิดขายในราคาตารางเมตรละ 400,000 บาท เพิ่มขึ้น จากราคาที่ดินสูงขึ้น ส่วนซิตี้คอนโดฯ จะขยายตัวออกไปในส่วนต่อขยายรถไฟฟ้ามากขึ้น ราคาไม่ปรับตัวสูงนัก
"หลายปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนาหลักในตลาดคอนโดมิเนียมจะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯมีสัดส่วนมากกว่า 62% รวมกว่า 8,700 ยูนิต แต่ไตรมาสแรกนี้ ผู้พัฒนาโครงการรายกลางและรายใหม่เริ่มมีสัดส่วนมากขึ้น รวมทั้งจากต่างชาติ โดยเปิดตัวโครงการ 38% หรือ 5,400 ยูนิต นอกจากนี้ ยังมี Roadmap ที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯภายใน 1-2 ปีนี้ ส่วนรายใหญ่จะให้ความสำคัญกับตลาดที่มีความยั่งยืนแทน มีเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการลงทุน ระมัดระวังการซื้อที่ดินกลางเมืองบ้าง พัฒนาตลาดบ้านแนวราบที่การเช่าที่ดินระยะยาว เพื่อพัฒนาโครงการที่มีรายได้ค่าเช่ามากขึ้น"
ส่วนการร่วมทุนกับชาวต่างชาติมีต่อเนื่อง ไตรมาสแรกมีทุนใหญ่จากจีนเปิดตัวโครงการชัดเจน โดยมิได้อาศัยบริษัทไทยที่มีชื่อเสียงเข้าร่วมทุน 20% ของจำนวนห้องชุดที่เปิดในกรุงเทพฯ และเป็นโครงการมูลค่า 30,000 ล้านบาท และกลุ่มทุนญี่ปุ่นจะเข้ามาพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 4-5 โครงการ ขณะที่รายย่อยต่างชาติ ยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยหลักที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย มี 4 ข้อ คือ 1.ราคาสินค้าที่ถูกเมื่อเทียบกับตลาดในประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนจากฮ่องกงและญี่ปุ่น 2.การซื้อคอนโดมิเนียมเป็นบ้านหลังที่ 2 เพื่อพักผ่อนและปล่อยเช่า 3.กระจายความเสี่ยงด้านการลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีน และ 4. อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่น่าจับตามอง คือ นักลงทุนซื้อห้องชุดในโควตาต่างชาติ 49% เพื่อไปเสนอให้นักลงทุนรายย่อยในต่างประเทศ
โดยครึ่งปีหลัง ยังคงเห็นความเติบโตในตลาดต่างชาติ บ้านลักชัวรี ยังคงมีความต้องการต่อเนื่อง จะเห็นคอนโดฯ 7-8 ชั้น ในซอยจะมีมากขึ้น และจะเริ่มเห็นคอนโดฯ ราคา 300,000 บาท/ตารางเมตร มากขึ้น บ้านลักชัวรี่ยังมีความต้องการ และราคาเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริการหลังการขายก็จะเป็นเทรนด์ในปีนี้และปีต่อๆ ไปด้วย ยังมีผู้สนใจ พัฒนาโครงการกลางเมืองจะขยับจากทองหล่อไปเอกมัยมากขึ้น ดังนั้นสถานการณ์เศรษฐกิจ การเมืองและการลงทุน รวมทั้งค่าเงินของประเทศจะมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯมากกว่าแต่ก่อน