NCHผุด3โครงการใหม่ดันเป้ารายได้โต1.7พันล.
Loading

NCHผุด3โครงการใหม่ดันเป้ารายได้โต1.7พันล.

วันที่ : 12 มีนาคม 2561
NCHผุด3โครงการใหม่ดันเป้ารายได้โต1.7พันล.

NCH ตั้งเป้ารายได้ 1,700 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,456.96 ล้านบาท ปัจจุบันมี Backlog ที่ 300 ล้านบาท คาดรับรู้ไตรมาสแรก ระบุเดือนม.ค.-ก.พ. 2561 มียอดขายแล้ว กว่า 500 ล้านบาท มั่นใจทั้งปีโกยยอดขายไม่ต่ำกว่า 2,700 ล้านบาท เตรียมเปิด 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลัง

นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2561 เติบโตประมาณ 1,700 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,456.96 ล้านบาท โดยบรรยากาศของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น จากการลงทุนภาครัฐและเอกชนที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้ขยายตัว ส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการส่งออกและการท่องเที่ยวยังเติบโตได้ดี ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับกลุ่มผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น

โดยตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 2,300 ล้านบาท โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (เดือนม.ค.-ก.พ. 2561) บริษัทมียอดขายแล้ว 500 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามบริษัทอาจพิจารณาปรับเพิ่มประมาณการยอดขายหรือการเปิดโครงการใหม่ หากแนวโน้มการเติบโตยังดีต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 1/2561 และมีสินค้าคงเหลือพร้อมโอน (สต๊อก) กว่า 4,000-5,000 ล้านบาท จาก 11 โครงการ แบ่งเป็น แนวราบ 8 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ

เปิด 3 โครงการ 2.5 พันล.

ทั้งนี้บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลัง 3 โครงการ รวมมูลค่าเกือบ 2,500 ล้านบาท ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยแบ่งเป็นแนวราบ 1 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ ซึ่งจะมีความชัดเจนในไตรมาส 3/2561 และคาดว่าสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 80-90% จากปีก่อนที่ประมาณ 70%

"แนวโน้มโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบในปีนี้จะเติบโตได้ดี โดยปัจจุบันจำนวนคนที่เข้ามาชมโครงการเพิ่มมากขึ้นและโอกาสที่จะตัดสินซื้อโครงการก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมถึงเทคโนโลยีที่เข้ามา ส่งผลให้ลูกค้าที่มาจากสื่อออนไลน์สูงขึ้น บริษัทมองว่าเป็นเทรนด์ที่ดี ในอนาคตน่าจะยังเติบโตได้" นายสมนึกกล่าว

D/E ต่ำ 0.9 เท่า

สำหรับการลงทุนบริษัทจะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีให้ตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค พร้อมทั้งยังมีที่ดินที่รอการพัฒนาอีกจำนวนมาก และหากอยู่ในทำเลที่ เหมาะสม บริษัทก็พร้อมที่จะพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากยังมีความสามารถในการขยายกิจการได้ รวมถึงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผุ้ถือหุ้น (D/E Ratio) ยังอยู่ในระดับต่ำที่ 0.9 เท่า เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม

โดยบริษัทสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ในเรื่องต้นทุน เพราะมุ่งเน้นการจัดซื้อที่ดินที่เป็นหลักประกันหลุดจำนอง ซึ่งเป็นหลักประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จากสถาบันการเงิน ประกอบกับมีการพัฒนาการก่อสร้างด้วยระบบการก่อสร้างสำเร็จรูป หรือ Precast อย่างต่อเนื่อง สร้างความสามารถด้านการแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาว สามารถควบคุมคุณภาพการผลิต ลดความเสี่ยงด้านต้นทุนการก่อสร้างและปัญหาด้านฝีมือแรงงาน รวมถึงการขาดแคลนผู้รับเหมา ช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้าง ทำให้สามารถขายและโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการยังอยู่ในระดับสูงที่ 30% เมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ที่ผ่านมา เนื่องจากธนาคารมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้มีการคัดกรองลูกค้าก่อนถึงธนาคาร

 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ทันหุ้น
ข่าวโครงการอสังหาฯ ภาคเอกชน อื่นๆ