เฉลิมนคร ชูโมเดิร์นกรีน รับเทรนด์ที่อยู่อาศัย 4.0
อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร
ชูโมเดิร์นกรีนรับ 4.0
"เฉลิมนคร" ชูโมเดิร์นกรีนผนวกนวัตกรรมไอที รับ เทรนด์ที่อยู่อาศัยยุค 4.0 เผยคอนเซ็ปต์ กรีน บิวดิ้ง มาแรง
แนวโน้มหรือเทรนด์ที่อยู่อาศัยได้ เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย โดยปัจจุบันดีเวลอปเปอร์ผู้พัฒนาโครงการต่างก็ให้ความสำคัญทั้งในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากความสวยงามของโปรดักต์ ทำเลที่ตั้ง ชื่อเสียงผู้พัฒนาโครงการ และระดับราคาที่แข่งขันได้
สุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฉลิมนคร กล่าวว่า แผนพัฒนาธุรกิจของบริษัทปีนี้ บริษัทเตรียมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น ซึ่งเป็นโปรเจกต์แรกที่หันมารุกทำตลาดแนวสูง โดยโครงการตั้งอยู่ในทำเลสาทร-พระราม 4 มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท ขนาด 200 ยูนิต ราคาขายประมาณ 1.5 แสนบาท/ตารางเมตร (ตร.ม.) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียด คาดจะเปิดตัวในช่วง ปลายปีนี้
นอกจากนี้ ยังได้ซื้อที่ดินทำเลรังสิต-นครนายก คลอง 5 พื้นที่กว่า 99 ไร่ สำหรับพัฒนาโครงการแนวราบประมาณ 400 ยูนิต ราคาขาย 4-10 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นโปรเจกต์ต่อไป เนื่อง จากสต๊อกสินค้าเหลือไม่มากจำเป็นต้องพัฒนาโครงการเข้ามาเพิ่ม อย่างไรก็ดีบริษัทได้วางสัดส่วนพอร์ตรายได้ในอนาคตทั้งแนวราบและสูงอยู่ที่ 50:50
"บริษัทได้มีการสำรวจพฤติกรรม ผู้บริโภคพบว่า มีจำนวนแฟนเพจ 6 หมื่นราย ที่ให้ความสนใจคอนเซ็ปต์กรีน บิวดิ้ง อีกทั้งคอนโดกลางเมืองก็มีการพัฒนาในเทรนด์กรีนมากขึ้น มองว่าเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม ซึ่งบริษัทก็มั่นใจด้วยศักยภาพทำเลและกำลังซื้อตลาดกลุ่มนิชมาร์เก็ตจึงได้พัฒนาคอนโดในรูปแบบโมเดิร์น กรีนผนวกกับนวัตกรรมด้านไอที คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นเดียวกับโครงการต่างๆ ที่ออกแบบโครงการด้วยแนวคิดสถาปัตยกรรมสีเขียว"
สุนทร กล่าวว่า ด้านเทรนด์ที่อยู่อาศัยในปีนี้ จากการที่อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (Internet of Things : IoT) เข้ามามีบทบาท ทำให้เกิดสมาร์ทโฮมหรือ บ้านอัจฉริยะ ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีมาควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกบ้านได้ เพื่อให้เกิดความสะดวกสบาย มีความปลอดภัย
สำหรับตลาดที่มีการแข่งขันสูง คือคอนโดมิเนียม ซึ่งระดับบีบวกขึ้นไป หรือระดับราคา 1.5 แสนบาท/ตร.ม. และหากเป็นแนวราบจะเป็นกลุ่มระดับ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งนี้นวัตกรรมไฮเทคโนโลยียังเป็นอีกกลยุทธ์ที่นำมาใช้ในการแข่งขันในตลาดปีนี้ ซึ่งต่างจาก อดีตที่คำนึงแค่เรื่องสินค้าและราคา
นอกจากนี้ เทรนด์ที่จะเริ่มเห็นคือการพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์คน 3 วัย คือ วัยรุ่น คนทำงานและผู้สูงอายุ ซึ่งจะมีการออกแบบฟังก์ชั่นประโยชน์การใช้สอยพื้นที่ตามแนวคิดยูนิเวอร์แซล ดีไซน์ (Universal Design) มีความเป็นสากลมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของคนทุกวัย
ขณะเดียวกันเทรนด์การประหยัดพลังงานควบคู่กับดูแลสิ่งแวดล้อมยังมีให้เห็นต่อเนื่อง และแนวโน้มบ้านอนุรักษ์พลังงานจะเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากราคา ถูกลง เช่น การติดตั้งโซลาร์เซลล์ในอดีตอยู่ระดับแสนบาท แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 7-8 หมื่นบาท/หลัง เป็นต้น บ้านระดับ 1-2 ล้านบาท ก็เป็นบ้านประหยัดพลังงานได้
ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 นั้น กลุ่มที่ยังไปได้ดีคือ ระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป คาดว่า จะเติบโตได้ถึง 5-7% ส่วนกลุ่ม 1-2 ล้านบาทยังทรงตัว เพราะยังมีสินค้าในตลาดอยู่เยอะ สำหรับปีนี้ดีเวลอปเปอร์ต่างได้เร่งเปิดโครงการใหม่แข่งในทุกเซ็กเมนต์ โดยจะเน้นกลุ่มระดับกลางและบน ส่วนตลาดระดับล่างภาคเอกชนจะไม่ขยายตัวมากนัก เนื่องจากต้นทุนราคาที่ดินสูง แต่จะเป็นที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติที่จะมีสินค้ากลุ่มนี้ออกสู่ตลาดมากกว่า ทั้งนี้คาดว่าตลาดโดยรวมของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปีนี้จะเติบโตขึ้นประมาณ 5%
ส่วนตลาดต่างจังหวัดนั้น มองว่ากำลังซื้อยังดีโดยเฉพาะจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและบริการมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง เช่น หัวหิน พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต ฯลฯ มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติสนใจลงทุนอสังหาฯ มากขึ้น โดยให้จับตาตลาดจีนซึ่งจะเข้าทั้งซื้อและขาย รวมทั้งพัฒนาโครงการเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าชาวจีนด้วยกันเอง คาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ลูกครึ่งที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนจะเติบโตขึ้น 15% ของประชากรทั้งประเทศไทย อย่างไรก็ดียังคงต้องติดตามเรื่องของราคา พืชผลการเกษตร ซึ่งจะส่งผลต่อกำลังซื้อโดยรวมของตลาดต่างจังหวัด