ดีลอสังหาฯกทม.เกือบ8,000ล้าน
เจแอลแอลเปิดเผยปี 2560 กรุงเทพฯ มีการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงหลายรายการ ในจำนวนนี้มี 3 รายการที่ซื้อขายมีมูลค่าสูงสุดและเจแอลแอลทำหน้าที่เป็นตัวแทนขายคิดเป็นมูลค่ารวม 7,900 ล้านบาท
นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า รายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงในกรุงเทพฯ ที่เจแอลแอลเป็นตัวแทนปี 2560 ที่ผ่านมาเป็นการเสนอขายกรรมสิทธิ์ขาด แตกต่างจากปี 2559 ที่เป็นดีลการให้เช่าระยะยาว โดยปี 2560 เจแอลแอลรับหน้าที่เป็นตัวแทนในการเสนอขายกรรมสิทธิ์ขาดสำหรับอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มที่มีมูลค่าสูงสุดในกรุงเทพฯ รวม 3 รายการได้แก่ 1.ที่ดินขนาด 7 ไร่ 382 ตารางวา ถนนสาทร เดิมเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ชนะการเสนอราคาโดยบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) 2.โรงแรมพรีเมียร์ อินน์ขนาด 224 ห้อง ถนนสุขุมวิท ขายให้กลุ่ม โฮเทล เอทตี้วัน หลังเปลี่ยนมือได้เปลี่ยนชื่อเป็นทราเวลลอดจ์ สุขุมวิท 11 และ 3.โครงการโรงแรมที่มีการก่อสร้างค้างไว้บนถนนสุขุมวิท ขายให้กับกลุ่มโรงแรมคาร์ลตันจากสิงคโปร์
นางสุพินท์กล่าวว่า ผู้ขายมีแรงจูงใจที่ต่างกันไป เช่น ที่ดินสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียถูกเสนอ ขายหลังจากสถานเอกอัครราชทูตย้ายไปยังสถานที่ทำการใหม่ใกล้สวนลุมพินี ส่วนโรงแรมพรีเมียร์อินน์ เจ้าของเดิมคือบริษัทวิทเบรด ที่อังกฤษตัดสินใจขายโรงแรมพรี เมียร์อินน์ในไทยทั้งที่กรุงเทพฯ และพัทยา ตามแผนธุรกิจใหม่ที่ต้องการถอนการลงทุนออกจากเอเชีย เพื่อเน้นเฉพาะตลาดยุโรปและตะวันออกกลาง
เจแอลแอลคาดว่า ปี 2561 จะ ยังมีการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นให้เห็นอีก เนื่องจากยังมีอสังหาริมทรัพย์ชั้นดีเสนอขายอยู่ขณะนี้ โดยช่วงต้นปีเจแอลแอลได้เป็นตัวแทนปิดการขายที่ดินย่านศูนย์ กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ แล้ว 2 แปลง รวมมูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท โดยแต่ละแปลงมีขนาดประมาณ 2 ไร่ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามสัญญาการรักษาข้อมูลการซื้อขายผู้ขายและผู้ซื้อ ซึ่งจะประกาศแผนพัฒนาโครงการต่อสาธารณะในเร็วๆ นี้
นางสุพินท์กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีการเจรจาซื้อขายอีก 2-3 รายการ สำหรับแปลงที่ดินขนาดพอเหมาะสำหรับการพัฒนาโครงการในทำเลชั้นดีและโรงแรมที่มีคุณภาพ ซึ่งเจ้าของสนใจขายโดยมีแรงจูงใจจากการได้รับข้อเสนอราคาที่ดี จากผู้สนใจซื้อ เพราะเชื่อว่า พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่จะเริ่มมีผลต่อการตัดสินใจขายมากขึ้น โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ชั้นดีที่เป็นที่ต้องการของตลาด