"วี พร็อพเพอร์ตี้ฯ" ด้านพลัสฯ มองเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค เริ่มเปลี่ยนหันพักอาศัยในคอนโดฯ มากขึ้น จากเดิมได้รับความนิยมในกลุ่มวัยทำงาน เริ่มขยายสู่กลุ่มครอบครัวและวัยผู้ใหญ่ หรือมีขนาดครอบครัว 2-4 คน เนื่องจากจากโจทย์ด้านทำเลและการเดินทางที่สะดวก

นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กล่าวถึงแผนธุรกิจในระยะ 3 ปีข้างหน้าว่า (2560-2562) ว่า ทางบริษัทมีความต้องการที่จะเป็นบริษัทมหาชนตามแผนเดิมที่วางไว้ โดยจะ เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯภายในปี 2562 เพื่อนำเงินทุนมาขยายธุรกิจซึ่งคาดว่าแหล่งเงินที่ได้จะสามารถพัฒนาโครงการได้มากกว่า 6 โครงการต่อปี หรือมีมูลค่าโครงการรวมถึง 12,000-13,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าปกติที่ยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ที่จะดำเนินการได้ 3-4 โครงการ

"เหตุผลที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะที่ปรึกษาทางการเงิน คือ บล.เออีซี จำกัด (มหาชน) ชี้ บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ฯ มีดี มีศักยภาพ ขณะเดียวกัน ทางบริษัทฯได้ปรับโครงสร้างองค์กร เคลียร์ระบบบัญชีของแต่ละบริษัทที่ดำเนินโครงการอยู่ ให้อยู่ในบริษัทเดียว คือ วี พร็อพ เพอร์ตี้ฯ เพื่อนำเข้าระดมทุน โดยคาด ว่าก่อนกระจายหุ้น จะมีโครงการที่ดำเนินการประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท ปัจจุบันทางกลุ่มมีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท ทั้งนี้ ทุกโครงการที่บริษัททำ จะไม่ใช่การเหวี่ยงแห แต่ทำโครงการที่ดีๆ" นายพรชัย กล่าว

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2561 นั้น นายพรชัย กล่าวว่า ในปีนี้ จะเปิดโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโต โดยอาจเปิด 3-4 โครงการ มูลค่าประมาณ 6,000-6,500 ล้านบาท เบื้องต้นจะเปิด 2 โครงการแรกในครึ่งปีแรก ได้แก่ 1.โครงการ ไอคอน สุขุมวิท 77 คอนโดฯโลว์ไรส์ 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 442 ยูนิต บนพื้นที่ 3-3-55 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท มีธนาคารมาเลเซียสนับสนุนเงินกู้ในการพัฒนาโครงการ โครงการมียอดจองแล้ว 30% และวางเป้าปิดยอดจองในวันเปิดขายในวันเสาร์ที่ 27 ม.ค.ให้ได้เกือบ 50%

โครงการคอนโดฯที่ 2 ภายใต้ชื่อ "เวอร์เทีย" ติดรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีพระโขนง มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท มีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สนับสนุนเงินกู้ ราคาขายประมาณ 2 แสนบาทต่อตารางเมตร(ตร.ม.) ซึ่งเป็นราคาที่โซนพระโขนงรับได้

"เรามั่นใจว่า จาก 2 โครงการที่เปิดในครึ่งปีแรกจะสามารถทำยอดขายได้ 3,500 ล้านบาท และคาดว่า ครึ่งปีหลัง อาจจะมีโครงการคอนโดมิเนียม โครงการที่พัฒนาในรูปแบบแนวราบ ก็น่าจะมา สนับสนุนใหบริษัทมียอดขายระดับ 6,000 กว่าล้านบาทได้ ขณะที่ในปีนี้ จะมีการรับรู้รายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท แยกเป็นจากโครงการวีธารา สุขุมวิท 36 มูลค่า 2,700 ล้านบาท และโครงการ H สุขุมวิท 43 ที่เหลือเฉพาะ 3 ห้องเพนต์เฮาส์ รวม 300 กว่าล้านบาท"

นายภัควัฒน์ สุขเกษม ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเสริมว่า ทางบริษัทเตรียมที่จะพัฒนาโครงการ แนวราบ แยกเป็นกลุ่มระดับไฮเอนด์ ราคา 15-30 ล้านบาท โดยจะไม่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าสุขุมวิท  เนื่องจากบริษัทมีโครงการคอนโดฯทำตลาดอยู่แล้ว โดยจะไปเจาะโซนราชพฤกษ์ เกษตร-นวมินทร์ เป็นต้น และขยายตลาดไปพัฒนาสินค้าทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด ในระดับราคากว่าล้านบาท ทาวน์โฮม ระดับราคา 2 ล้านบาท และโฮมออฟฟิศเน้นนอกเมือง ราคา 8-15 ล้านบาท ขนาดแต่ละโครงการระหว่าง 15-30 ไร่

"โครงการแนวราบอยู่ในแผนรองรับการสร้างการเติบโตให้กับวี พร็อพเพอร์ตี้ ทำเลจะเกาะขอบเมือง ซึ่งจะเห็นว่า พาณิชย์กรรมมีการขยายตัวออกไปมาก โดยเฉพาะโซนภาคตะวันออก เส้นสุวรรณภูมิ มีกลุ่มลูกค้าเยอะ"

พลัสฯวิเคราะห์กลุ่มครอบครัวเล็กหันอยู่คอนโดฯเมือง

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหา- ริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวคาดการณ์ทิศทาง อสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ว่า ทิศทางโดยรวมจะทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2560 โดยยอดขายทั้งปี 2560 คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว อยู่ที่ประมาณ 95,723 ยูนิต ซึ่งชะลอตัวจากปี 2559 ประมาณ 4% แม้ว่าครึ่งปีแรก'60 จะมีการขยายตัวได้ดี แต่ตลาดบ้านเดี่ยวยังคงชะลอตัว เหตุผลหลักมาจากหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

"ปัจจุบันกลุ่มคนที่อยู่แบบครอบครัว ขนาดเล็ก 2-4 คน ก็เริ่มหันมาพักอาศัยในคอนโดฯด้วย เพราะสะดวกในการเดินทาง นอกจากนี้ ผู้บริโภคกลุ่มหลักของคอนโดฯในปัจจุบัน มีแนวโน้มช่วงอายุ ที่ขยายกลุ่มกว้างขึ้นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ที่มากขึ้นด้วย เนื่องจากคอนโดมิเนียมในปัจจุบันตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนหลากหลายกลุ่ม Generation จึงทำให้เห็น วัยผู้ใหญ่ใกล้เกษียณเริ่มเข้ามาลงทุนในอสังหาฯ ประเภทนี้เช่นกัน"