เผย5ปัจจัยหนุนศก.-อสังหาฯปี61โต ลลิล ชี้จับตาทาวน์เฮาส์กินแชร์คอนโดฯ
Loading

เผย5ปัจจัยหนุนศก.-อสังหาฯปี61โต ลลิล ชี้จับตาทาวน์เฮาส์กินแชร์คอนโดฯ

วันที่ : 9 มกราคม 2561
เผย5ปัจจัยหนุนศก.-อสังหาฯปี61โต ลลิล ชี้จับตาทาวน์เฮาส์กินแชร์คอนโดฯ

"ลลิล" ชู 5 เครื่องยนต์หลัก การส่งออก, การใช้จ่ายภาครัฐ, การลงทุนภาคเอกชน, การบริโภคภาคประชาชนและการท่องเที่ยว ขับเคลื่อนอสังหาฯ ปี 61 จับตาตลาดทาวน์เฮาส์แชร์ส่วนแบ่งตลาดคอนโดฯ เพิ่ม หลังที่ดินในเมือง-แนวรถไฟฟ้าราคากระฉูด ดันต้นทุน-ราคาคอนโดฯ พุ่งเกินกำลังซื้อ ผู้บริโภคหันเลือกทาวน์เฮาส์แทน พร้อมแผนปีจอ เปิดใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่า 4,500-5,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ กทม.ปริมณฑล และต่างจังหวัด วางเป้ายอดขาย 4,500 ล้านบาทรับรู้รายได้ 4,000 ล้านบาท

นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALI กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 61 จะขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน หลังจากมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ที่ผ่านมา สอดคล้องไปกับทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในส่วนของภาคการส่งออก ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่หนุนให้เกิดการขยายตัวของภาคอสังหาฯในปีนี้ เกิดจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจโดยปัจจัยบวกดังกล่าวประกอบด้วย 1.การขยายตัวด้านการส่งออกที่เริ่มขยายตัวตั้งแต่ปีที่ผ่าน และที่สำคัญคือการส่งออกสินค้าเกษตรมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้ง ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ซึ่งหมายถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคต่างจังหวัดจะดีขึ้นด้วย

ปัจจัยที่ 2.การใช้จ่ายของภาครัฐในโครงการเมกะโปรเจกต์ 2.7 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าในปี 61 นี้จะมี การเปิดประมูลงานโครงการรัฐมูลค่า 6 แสนล้านบาท และ จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 2-3 แสนล้านบาท ซึ่งจะช่วยกระตุ้น ด้านการลงทุนและการบริโภคในประเทศ ตลอดจนส่งผลดีต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น วัสดุก่อสร้างและแรงงาน และบริษัทรับเหมาก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีการประมูลโครงการใหม่ๆ ที่จะเริ่มขึ้นอีกหลายโครงการ ขณะเดียว กันทิศทางของการเลือกตั้งที่ชัดเจนขึ้น จะส่งผลต่อการ ตัดสินใจเข้ามาลงทุนของทุนต่างชาติ โดยเฉพาะกองทุน

ปัจจัยที่ 3.การลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งคาดว่าจะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นจำนวนมากในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยที่จะตามมา

ปัจจัยที่ 4.การบริโภคของภาคประชาชน ในปี 60 สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ทำให้มียอดการปฏิเสธสินเชื่อสูงกว่าในอดีต โดยในระบบมียอดปฏิเสธสินเชื่อประมาณ 20-30% จากปกติอยู่ระดับ10% แต่อย่างไรก็ตาม ผลดีของการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อส่งผลให้วินัยการเงินของประชาชนดีขึ้น ทำให้อัตราหนี้สินครัวเรือนที่เดิมสูงถึง 80% เศษ ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปีนี้จะลดลงมาอยู่ที่ 77-78% ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคในปีนี้ให้ปรับตัวสูงขึ้น

และ 5.การขยายตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้เศรษฐกิจเมืองท่องเที่ยวขยายตัวสูง ส่งผลดีต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคไปด้วย

นายไชยยันต์ กล่าวว่า จากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศและอัตราการขยายตัวของอสังหาฯให้ดีตามไปด้วย ทั้งนี้ กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ดีขึ้นจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของตลาดแนวราบ โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภท ทาวน์เฮาส์ ซึ่งเชื่อว่าจะเข้าไปแชร์กลุ่มลูกค้าคอนโด- มิเนียมเพิ่มเข้ามา เนื่องจากปัจจุบันราคาที่ดินในเมือง เขตซีบีดี และแนวรถไฟฟ้า ซึ่งเป็นทำเลการพัฒนาคอนโดฯ มีการปรับตัวสูงอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้นทุนการพัฒนาคอนโดฯ เพิ่มขึ้นและส่งผลให้ราคาปรับสูงขึ้น จนลูกค้าบางกลุ่มกำลังซื้อไม่ถึง ทำให้ต้องหันมาเลือกซื้อทาวน์เฮาส์ ในทำเลใกล้เคียงกัน แต่มีราคาต่ำกว่า

นอกจากนี้ แนวโน้มของการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดว่าทั้งปี กนง.จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไม่เกิน 3 ครั้ง รวมไม่เกิน 0.75% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นตามแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แต่อย่างไรก็ตามแม้จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยแล้วแต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น จึงยังเป็นผลดีต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อการเมืองของประชาชนที่สูงขึ้น และการฟื้นตัวของกำลังซื้อตามทิศทางการขยายตัวเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยบวกให้ตลาดอสังหาฯในปีนี้ขยายตัวได้ที่ระดับ 5-7%

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ลลิลฯ กล่าวว่า ในปีนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่รวม 8-10 โครงการ มูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งสัดส่วนการลงทุนในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลเป็น 75-80% ส่วนที่เหลืออีก 20-25% จะเป็นการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งยังคงเน้นทำเลลงทุนในโซนภาคตะวันออก เพื่อรองรับการขยายตัวด้านที่อยู่อาศัย ที่จะตามมาจากการขยายตัวของการลงทุนอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC

ทั้งนี้ โครงการเปิดใหม่ในปีนี้จะยังเน้นการเปิดตัว โครงการใน 3 แบรนด์หลัก คือ บ้านเดี่ยวผสมทาวน์เฮาส์ ลลิลทาวน์ บ้านแนวราบแบรนด์แลนด์ซิโอ และทาวน์เฮาส์ แบรนด์ไอโอ โดยจะทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ไตรมาสละไม่ต่ำกว่า 2 โครงการ ซึ่งในเดือน ม.ค.นี้จะเปิดตัว 2 โครงการใหม่ในโซนเหนือ กทม. และโซนสนามบินสุวรรณภูมิ โดยปีนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม 4,400 ล้านบาท และมีรายได้ 4,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน หน้า 15% ทั้งนี้ บริษัทได้วางงบซื้อที่ดินในปีนี้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาทเพื่อลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้

 
ที่มา : ผู้จัดการรายวัน 360 องศา